บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 3/2564 ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 2 ชุด โดยมีจำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 8 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 4 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.55% ต่อปี มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 4,000 ล้านบาท จำนวนหน่วยที่เสนอขายไม่เกิน 4 ล้านหน่วย และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุหุ้นกู้ 4 ปี 11 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.70% มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 4,000 ล้านบาท จำนวนหน่วยที่เสนอขายไม่เกิน 4 ล้านหน่วย ครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2569 กำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน หรือทุกวันที่ 8 มกราคม 8 เมษายน 8 กรกฎาคม และ 8 ตุลาคม ตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเริ่มชำระดอกเบี้ยงวดแรกในวันที่ 8 มกราคม 2565 โดยหุ้นกู้ TPIPL จะเปิดจองซื้อในวันที่ 5-7 ตุลาคม 2564 โดยจะเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไป (Public Offering: PO) มูลค่าที่ตราไว้ต่อหน่วย 1,000 บาท ราคาเสนอขายต่อหน่วย 1,000 บาท และได้แต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 11 ราย ประกอบด้วย (1) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (2) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (3) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) (4) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด (5) บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน) (6) บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) (7) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด (8) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (9) บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (10) บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ (11) บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ทั้งนี้หุ้นกู้ TPIPL ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” สะท้อนถึงตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งของ TPIPL ในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศไทย ตลอดจนการเป็นผู้นำตลาดพลาสติก Low-density Polyethylene (LPDE) และ Ethylene Vinyl Acetate (EVA) รวมถึงการมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และประโยชน์จากการมีธุรกิจที่หลากหลาย ประกอบกับผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมาจากส่วนต่างของราคาพลาสติกที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจปิโตรเคมีและประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าที่สูงขึ้น ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทฯ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 20,614 ล้านบาท เติบโต 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 6,184 ล้านบาท เติบโต 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวมในช่วงหกเดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 3,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113% เมื่อเทียบปีกับช่วงเดียวกันของปี 2563 โดยปัจจุบัน บมจ.ทีพีไอ โพลีน และบริษัทในเครือประกอบธุรกิจหลัก แบ่งเป็น 4 กลุ่มธุรกิจ ดังนี้ (1) ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ปูนเม็ด ปูนสำเร็จรูป คอนกรีตผสมเสร็จ กระเบื้องคอนกรีต ไฟเบอร์ซีเมนต์ อิฐมวลเบา และสี เป็นต้น (2) ธุรกิจปิ โตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ได้ แก่ เม็ดพลาสติกประเภท LDPE&EVA กาวน้ำ, กาวผง, ฟิล์ม Polene Solar, ฟิล์ม Vista Solar และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ แอมโมเนียมไนเตรท และกรดไนตริก เป็นต้น (3) ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ได้แก่ โรงงานแปรรูปขยะเป็นเชื้อเพลิงทดแทน (Refuse Derived Fuel) โรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนทิ้ง โรงไฟฟ้าจากพลังงานเชื้อเพลิงขยะ RDF โรงไฟฟ้าถ่านหิน โรงงานผลิตเชื้อเพลิงเหลว สถานีให้บริการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ (NGV) เป็นต้น (4) ธุรกิจการเกษตรและอื่น ๆ ประกอบด้วย (4.1) ผลิตภัณฑ์สำหรับพืช ได้แก่ ปุ๋ยชีวะอินทรีย์ สารปรับปรุงสภาพดิน (4.2) ผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ ได้แก่ สารเสริมชีวนะ สำหรับปศุสัตว์และประมง (4.3) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพได้แก่ Bio Knox สำหรับชงดื่มเพื่อกำจัดเชื้อก่อโรค Corona Virus น้ำยาบ้วนปากเพื่อฆ่าเชื้อโรค Corona Virus ใช้ได้ผลกับผู้ติดโรคแล้วทำให้หายจากโรคได้ ผลิตภัณฑ์ ไมโครมน็อคโซลูชั่น สำหรับพ่นบริเวณที่อยู่อาศัยเพื่อฆ่าเชื้อก่อโรค สบู่เหลว เป็นต้น รวมถึง น้ำดื่มตราทีพีไอพี นอกจากนี้ยังมีธุรกิจประกันชีวิตที่ดำเนินการภายใต้บริษัทและบริษัทในเครือทีพีไอโพลีน