เอ่ยถึง “หุ่นยนต์” ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ แล้วก็ต้องบอกว่า ยุคนี้สมัยนี้ สืบเนื่องต่อไปในอนาคต บรรดามนุษย์เราๆ ต้องหนาวๆ ร้อนๆ กันแทบถ้วนหน้า ก็เพราะมาแย่งการทำมหากินของมนุษย์เราไปแล้วสารพัดอาชีพงาน ไม่เว้นแม้กระทั่งทางทหาร เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคง บรรดาขุนศึก ขุนพลทั้งหลาย ก็ได้ถูกหุ่นยนต์เข้ามาแย่งอาชีพ ซึ่งนอกจากปัจจัยเรื่องสมรรถนะทางการรบแล้ว พวกหุ่นยนต์เหล่านี้ ก็ยังช่วยลดความสูญเสียในชีวิตของพวกทหารหาญได้อีกด้วย แบบว่า ถูกยิง ถูกระเบิด เสียหายไปก็ไม่เป็นไร หาหุ่นยนต์มาทดแทนได้ แตกต่างจากทหารมนุษย์ตัวเป็นๆ พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า “หุ่นยนต์สังหาร” บ้าง “หุ่นยนต์นักรบ” บ้าง ตามความหมายในภาษาอังกฤษ “คิลเลอร์ โรบอต (Killer Robot)” ซึ่งฟังแล้วก็ชวนให้ขนพองสยองเกล้าไม่บันเบา ความเป็นมาเป็นไปของหุ่นยนต์สังหาร หรือหุ่นยนต์นักรบ ตามประวัติศาสตร์ ตลอดจนตำนานเรื่องเล่าต่างๆ ก็น่าจะมีมานานแล้วนับพันปี เช่น เรื่องราว “ม้าไม้เมืองทรอย” ยุคกรีกโบราณ หรือ “โคพยนต์” ของขงเบ้งในเรื่องสามก๊ก แต่สมัยนั้นทั้งสองเหตุการณ์ ก็ใช้หุ่นยนต์ข้างต้นเพื่อการพรางตัวของทหารหาญเพื่อเล็ดรอดเข้าไปในที่มั่นของข้าศึก ทว่า ถึงกระนั้นทหารที่เล็ดรอดเข้าไปข้างต้น ก็สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องจักรสังหารผลาญชีวิตฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี สำหรับหุ่นยนต์สังหาร หรือหุ่นยนต์นักรบ ยุคใหม่ ตามหลักฐานที่ปรากฏยืนยัน เริ่มใช้มาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว หลังทหารอังกฤษ สามารถยึดหุ่นยนต์ที่ว่าจากกองทัพของเยอรมนีมาได้ ภายหลังจากประสบชัยชนะในการยกพลขึ้นบกชายฝั่ง “เมืองนอร์มังดี” ประเทศฝรั่งเศส สมรภูมิอันลือลั่น ก่อนที่ในเวลาต่อมา บรรดากองทัพของชาติต่างๆ โดยเฉพาะมหาอำนาจใหญ่น้อย เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียตรัสเซียครั้งอดีตที่ปัจจุบัน คือ รัสเซีย อังกฤษ จีนแผ่นดินใหญ่ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เป็นต้น ได้ประดิษฐ์และพัฒนาหุ่นยนต์สังหาร หรือหุ่นยนต์นักรบ ขึ้นมาใช้ในการปฏิบัติภารกิจทางการทหารมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ล้ำหน้ากว่าใครก็เห็นจะเป็น “สหรัฐอเมริกา” เจ้าของฉายาพญาอินทรี ได้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้สำหรับการประหัตถ์ประหารชีวิตมนุษย์มาอย่างหลากหลายรูปแบบ และตามความสอดคล้องเหมาะสมในแต่ละภารกิจ ไม่ว่าจะการโจมตีฝ่ายตรงข้ามในพื้นที่เสี่ยงภัยทุกระดับ รวมไปถึงการเก็บกู้วัตถุระเบิด เป็นอาทิ เช่น ในภารกิจสงครามทั้งที่อิรัก และอัฟกานิสถาน ตลอดจนการใช้อาวุธสำคัญในการปราบปรามต่อต้านการก่อการร้ายที่กบดานในพื้นที่เสี่ยงภัยแก่ทหารมนุษย์เป็นๆ ทั้งนี้ มีรายงาน แกนนำผู้ก่อการร้ายคนสำคัญ ล้วนปิดฉากสิ้นชื่อ เพราะถูกหุ่นยนต์สังหาร หรือหุ่นยนต์นักรบ เข้าร่วปฏิบัติการด้วยก็มีหลายราย เช่น นายอุสมะห์ บิน ลาเดน อดีตผู้นำขบวนการก่อการร้ายอิสลามหัวรุนแรงอัลกออิดะฮ์ ก็เป็นอีกหนึ่งในเหยื่อของหุ่นยนต์สังหารมหาประลัยชนิดนี้ ตามมาด้วยชาติมหาอำนาจอีกหนึ่งประเทศ ที่ประดิษฐ์ คิดค้น พัฒนา หุ่นยนต์พิฆาตชนิดนี้ แบบตามมาติดๆ หายใจรดต้นคอสหรัฐอเมริกา พญาอินทรี นั่นคือ รัสเซีย พญาหมีที่มีประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เป็นผู้นำ และให้ความเอาใจใส่ในการพัฒนาด้านนี้เป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ล่าสุด ก็ล้มคว้ำคำสั่งห้ามจากทางสหประชาชาติ หรือยูเอ็น แบบฉีกระเบียบทิ้งอย่างไม่ใยดี โดยมีเป้าหมายที่ว่า จะทำให้พญาหมีรัสเซีย เบียดแซงหน้าขึ้นแท่นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก ในด้าน “หุ่นยนต์สังหาร” ที่มีไว้ประจำการตามเหล่าทัพต่างๆ อย่างชนิดเต็มอัตราศึกให้จงได้ นอกจากรัสเซีย พญาหมีแล้ว อีกหนึ่งมหาอำนาจที่กำลังทะยานขึ้นแท่น ณ เวลานี้ อย่าง “พญามังกรจีนแผ่นดินใหญ่” ก็กำลังเป็นที่จับตามองถึงการพัฒนาหุ่นยนต์สังหาร หรือหุ่นยนต์นักรบ เป็นอย่างมาก ท่ามกลางการประดิษฐ์พัฒนาที่เป็นไปอย่างเข้มข้นดุเดือด อันสืบเนื่องจากการที่พญามังกรจีน มิใช่พญามังกรธรรมดา แต่เป็นพญามังกรที่เงินถุงเงินถัง ถึงขนาดที่บรรดานักวิเคราะห์ เช่น นางคา บินเกน เลขาธิการแห่งสำนักงานข่าวกรองด้านความมั่นคง หรือเอสดีไอ ในสหรัฐฯ ออกมาเตือนครั้งล่าสุดว่า ทั้งพญามังกรจีนแผ่นดินใหญ่ และพญาหมีรัสเซีย กำลังพยายามสลัด “ฝุ่น” ที่พวกเขายังคงวิ่งตามหลังพญาอินทรีสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ ด้วยการพัฒนาหุ่นยนต์สังหารกันอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความคาดหมายในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งพญามังกรจีน และพญาหมีรัสเซีย จะเบียดแซงหน้าพญาอินทรีสหรัฐฯ พร้อมๆ กับก้าวขึ้นแท่นชาติมหาอำนาจพี่เบิ้มใหญ่ หรือซูเปอร์พาวเวอร์ ด้วยปัญญาประดิษฐ์ทางการทหาร คือ หุ่นยนต์สังหาร หรือหุ่นยนต์นักรบ เป็นตัวนำวิถี สอดคล้องกับเสียงเพรียกเตือนด้วยความเป็นห่วงใยในสถานการณ์จากหลายฝ่าย เช่น “อีลอน มัสก์” ที่ออกมาเตือนว่าให้ตระหนักถึงพิษภัยของหุ่นยนต์สังหารที่มีต่อความมั่นคงของโลก โดยถึงกับระบุว่า หุ่นยนต์นักรบพวกนี้ มีอันตรายยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ ที่ใครๆ ก็หวาดผวากัน ในฐานะภัยคุกคามความมั่นคงของมนุษยชาติอีกประการหนึ่ง