"ปธ.กก.สอบวินัยฯ" บินด่วนไปพิษณุโลก แจ้งข้อหาเพิ่ม"อดีตผกก.โจ้-ลูกน้อง"ประพฤติชั่วร้ายแรง ด้าน"โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์"เตรียมส่งผลชันสูตรพลิกศพเหยื่ออดีตผกก.คนดังและพวก ให้พนง.สอบสวน ขณะที่"ผบ.ตร."สั่งสอบทรัพย์สิน-รถหรู เมื่อวันที่ 30 ส.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช รองจเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัย พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรืออดีต ผกก.โจ้ และลูกน้อง รวม 7 คน ได้บินด่วนไปยังกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 จ.พิษณุโลก เรียกประชุมคณะกรรมการวินัยเพื่อวางแนวทางกาสอบสวนเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ต่ออดีตผกก.โจ้และพวก หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา กรณีทรมาน นายจิระพงศ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ต.ท.สราวุฒิ และคณะกรรมการสอบวินัย ได้เดินทางไปยังเรือนจำกลางพิษณุโลก เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ต่ออดีตผกก.โจ้และลูกน้อง ซึ่งการดำเนินการทางวินัยกับผู้ต้องหา จะทำคู่ขนานไปกับการดำเนินคดีอาญา โดยกรรมการวินัยมีกรอบเวลาในการสอบสวน 240 วัน ก่อนจะมีคำสั่งไล่ออกจากราชการอย่างเป็นทางการกับผู้ต้องหาทั้ง 7 คน ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ผลการชันสูตรพลิกศพ นายจิระพงศ์ หรือมาวิน ธนะพัฒน์ อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาคดียาเสพติดที่เสียชีวิตอย่างเป็นทางการของแพทย์โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ได้เสร็จสิ้นแล้ว และได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบ อยู่ระหว่างรอพนักงานสอบสวนเดินทางมารับผลไปประกอบสำนวนการสอบสวนต่อไป พร้อมกันนี้ โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์จะมีแถลงการณ์ขั้นตอน และระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการส่งผลการชันสูตรพลิกศพให้ทราบต่อไป เบื้องต้นโรงพยาบาลไม่มีสิทธิในการแถลงหรือแจ้งผลให้ทราบ โดยจะเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนเท่านั้น นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ตรวจสอบข้อมูลการได้มาและการครอบครองรายการรถยนต์ รวมถึงทรัพย์สินอื่น โดยให้ตรวจสอบหลักฐานทางทะเบียน และข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทราบว่าทรัพย์สินดังกล่าวได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร ให้ตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริง และสืบสวนขยายผลเพื่อให้ทราบว่ายังมีผู้เสียหายรายอื่นอีกหรือไม่ นอกจากที่มีการนำเสนอข้อมูลทางสื่อ หากตรวจสอบและสืบสวนปรากฏว่ามีพฤติการณ์การกระทำเข้าข่ายเป็นความผิดอาญาและมีบุคคลอื่นร่วมกระทำความผิดด้วยให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่แล้วรายงานผลให้ทราบ