วงเสวนาจี้รัฐออกมาตรการป้องกันปัญหารับน้องโหด นำบทเรียน"น้องบอส"เป็นกรณีศึกษา ด้าน“หัวอกพ่อ”เปิดใจ เฝ้ารอวันที่ลูกกลับมาเรียน ลั่นไม่อยากเห็นรับน้องรุนแรงเกิดขึ้นอีก ขณะที่ฝ่ายกม.มูลนิธิเยาวชนฯพร้อมช่วยเหลือคดีเอาผิดถึงที่สุด วันนี้(13กันยายน59)เวลา10.00น.ที่โรงแรมเอบิน่าเฮ้าส์ในเวทีเสวนา“รับน้องไม่สร้างสรรค์”และ“กิจกรรมเสี่ยงนศ.”ถึงเวลายาแรงหรือยัง?จัดโดยเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ มูลนิธิเยาวชนพอเพียงเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและมูลนิธิเพื่อนเยาวชนเพื่อการพัฒนา นายอัมพร ทองเนื้อขาว พ่อน้องบอส นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบกรณีรับน้อง ม.เกษตรศาสตร์วิทยาเขตศรีราชา กล่าวว่า จากการที่ลูกชายเข้าร่วมกิจกรรมรับน้อง โดยรุ่นพี่สั่งให้ลงไปในสระน้ำจนได้รับอันตรายถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวที่ห้องไอซียูเนื่องจากปอดติดเชื้อ เมื่อได้ทราบข่าวหัวอกคนเป็นพ่อก็ใจสลายทำอะไรไม่ถูกเพราะน้องเป็นเด็กดีมีอนาคตและไม่เคยมีเรื่องหรือมีปัญหากับใครแต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เป็นใครใครก็รับไม่ได้ “ตอนนี้ลูกชายอาการดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังอยู่ในช่วงเฝ้าระวังอาการ ซึ่ง ไม่หวังอะไรมากขอแค่ลูกชายฟื้นและกลับมาเรียนได้ตามปกติ ทั้งนี้ยังสงสัยว่าลูกชายจมน้ำได้อย่างไรเนื่องจากเรียนว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็กและว่ายน้ำแข็งพอสมควร อีกทั้งไม่แน่ใจว่าหากน้องจะพูดตรงกับที่มหาวิทยาลัยแถลงข่าวหรือไม่ หลังจากนี้จะยังไม่แจ้งความดำเนินคดีแต่เรื่องการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงก็ต้องดำเนินการต่อไปอย่างไรก็ตามไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับกิจกรรมรุนแรงแบบนี้อยากให้เป็นกรณีสุดท้ายเพราะไม่อยากให้ไปเกิดขึ้นกับครอบครัวใดอีก และขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีกฎหมายหรือมาตรการที่ชัดเจน ห้ามการรับน้องไม่สร้างสรรค์ โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรง หรือบังคับให้ทำสิ่งไม่เหมาะสม เชื่อว่ารัฐบาลโดยเฉพาะ นายกฯท่านนี้ จะทำได้”นายอัมพร กล่าว นายเตชาติ์ มีชัย ฝ่ายกฎหมายมูลนิธิเยาวชนพอเพียงเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า กรณีนี้ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา300และมาตรา309 เข้าข่ายบังคับข่มขืนให้กระทำการใดๆที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งหลังจากนั้นคงต้องรอผลตรวจทางการแพทย์และพยานหลักฐานพยานแวดล้อมต่างๆเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง ซึ่งโทษที่จะได้รับอาจจะแตกต่างออกไป อีกทั้งทางมหาวิทยาลัยผู้บริหาร อาจารย์ถือว่ามีความผิด ตกเป็นจำเลยร่วมมีโทษทางวินัยและอาญาหากข้อเท็จจริงปรากฎว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ซึ่งหากผู้เสียหายต้องการเอาผิด ทางทนายความของมูลนิธิฯยินดีให้คำปรึกษาและดำเนินคดี รวมถึงการรับน้องโหดในรายอื่นๆด้วย “ปัญหารับน้องรุนแรง ไม่ควรซุกไว้ใต้พรม หรือปัดความรับผิดชอบ รุ่นพี่ต้องไม่ใช้อำนาจ หรือความสะใจอยู่เหนือรุ่นน้อง ซึ่งหลายกรณีมีการข่มขู่ห้ามโพสห้ามแชร์ เพื่อต้องการปิดข่าว ตนเชื่อว่ากิจกรรมประเทืองปัญญามีให้ทำอีกมากรับน้องดีๆสร้างสรรค์ก็มีอยู่ไม่น้อย จึงไม่ควรใช้พฤติกรรมขยะเข้ามาอยู่ในประเพณีรับน้อง อยากจะขอให้สังคม พ่อแม่ผู้ปกครองออกมาปกป้องสิทธิ เรียกร้องความยุติธรรม อย่ามองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ปล่อยให้ผ่านไป ซึ่งด้านหนึ่งจะยิ่งทำให้บรรดารุ่นพี่ขาโหดได้ใจ กระทำแบบนี้ซ้ำซาก ข้อสำคัญหากนักศึกษายึดติดในระบบอำนาจนิยม เมื่อโตขึ้นเข้าสู่ระบบการทำงานก็จะติดความคิดและพฤติกรรมบ้าอำนาจไปด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวเขา รวมไปถึงงานและประเทศชาติแต่อย่างใด”นายเตชาติ์ กล่าว นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ กล่าวว่า เครือข่ายเยาวชนฯได้ลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นนักศึกษาต่อสถานการณ์การรับน้องในมหาวิทยาลัยทั้ง4ภาคทั่วประเทศจำนวน1,215รายระหว่างวันที่15-30 ส.ค.59 พบว่ากลุ่มตัวอย่าง 45.75% มองว่ากิจกรรมรับน้องยังอยู่ในเกณฑ์ดี สร้างสรรค์10.37% อยากให้แก้ไขอย่างเร่งด่วนเพราะเป็นปัญหาอย่างมากขณะที่18.44% เห็นว่าไม่เกิดประโยชน์กับนักศึกษา และ25.44%มองว่ากิจกรรมจะเกิดปัญหาบ้างบางส่วนแต่ไม่มาก สำหรับพฤติกรรมรับน้องที่ยังน่าห่วงได้แก่ พูดจาหยาบโลน บังคับ ข่มขู่ ด่าทอ กดดัน หลอกล่อให้ดื่มสุราสูบบุหรี่ หรือใช้สารเสพติด ขณะเดียวกันกว่า1 ใน 3 ยังมองว่า ปัญหาสำคัญคือ ทัศนคติของรุ่นพี่ที่สืบทอดกันมา รวมถึงสถานศึกษาไม่มีระบบควบคุมการมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาเกี่ยวข้องและบทลงโทษไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างสูงถึง89.30% ต้องการให้สถาบันมีบทลงโทษที่ชัดเจนหากเกิดเหตุรุนแรงขึ้น “จุดยืนเราไม่ได้ให้ยุติประเพณีรับน้อง เชื่อว่าหากเลือกใช้ในทางที่ดีจะเป็นประโยชน์อยู่ แต่เราเป็นปฏิปักษ์ต่อความรุนแรง ระบบอำนาจนิยม การมอมเมาน้องด้วยอบายมุข และพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่แฝงอยู่ในกิจกรรมดังกล่าวรุ่นพี่ควรทำกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์ปลอดภัยมากกว่ารุ่นพี่ต้องไม่เอาค่านิยมผิดๆหรือทัศนคติที่ไม่ถูกต้องมาใช้ หรือการใช้คำพูดข่มขู่คุกคามสิทธิ นอกจากนี้ต้องหาทางป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่างๆด้วย เช่น เหล้า บุหรี่ ยาเสพติด หรือเลี่ยงสถานที่ไม่เหมาะสมเสี่ยงอันตราย ที่สำคัญรัฐบาล กระทรวงศึกษาควรกำหนดนโยบายห้ามจัดกิจกรรมที่ไม่สร้างสรรค์ หากเกิดเหตุขึ้น ผู้บริหารสถาบันต้องรับผิดชอบ หากหนีไปจัดข้างนอกรุ่นพี่ต้องรับผิดชอบ จะอ้างว่าไม่เจตนาไม่ได้เพราะเป็นความผิดตามกฎหมาย”นายธีรภัทร์ กล่าว ขณะที่นายเอ(นามสมมุติ)อายุ21ปี เยาวชนจากศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน(ชาย)บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า ตนเป็นอดีตเด็กอาชีวะที่สถาบันแห่งหนึ่ง และเคยผ่านกิจกรรมรับน้องโหดมาแล้ว ช่วงนั้น รุ่นพี่สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำเพราะอยากเป็นที่ยอมรับและเข้ากลุ่มกับเพื่อน เช่น สั่งให้วิดพื้นนานๆนอนกลิ้งไปมา หมอบคลานกับพื้น ต้องทำแบบนี้หลังพักเที่ยงและเลิกเรียนจนครบ1เทอม แต่ที่รุนแรงที่สุด คือ บังคับให้ดื่มเหล้า โดยที่รุ่นพี่เป็นคนกรอกเข้าปากจนเมาไม่ได้สติ และให้ยืนเกาะกลุ่มกันแล้วรุ่นพี่ก็ใช้เท้าถีบ ตบ เตะ จนเพื่อนหลายคนล้มไปนอนกองลงกับพื้น อีกทั้งยังใช้คำพูดหยาบคาย ข่มขู่ บังคับให้ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ตัวเราจะเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ด้วยความกลัวจึงไม่กล้าโวยวาย หรือถอนตัวจากกิจกรรม ทั้งนี้อยากฝากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ออกมาตรการควบคุมอย่างจริงจังได้แล้ว เราสูญเสียกันเท่าไหร่แล้วกับเรื่องนี้ ควรนำบทเรียนที่เกิดขึ้นมาใช้ในการจัดระเบียบการรับน้องให้ได้ ที่สำคัญหากมีการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ไม่ควรช่วยกันปกปิด ควรยอมรับความจริง ว่ากันไปตามกฎหมาย ถึงเวลาแล้วที่เราจะช่วยกันเปลี่ยนกิจกรรมรับน้องให้สร้างสรรค์เป็นประโยชน์กับน้องและสังคมอย่างแท้จริง