คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
กว่าที่ “นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์” ของอังกฤษ “ประธานาธิบดีอับราอัม ลินคอล์น” “ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน” และ “ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี.รูสเวลล์” แห่งสหรัฐอเมริกา จะได้รับความชื่มชมนิยมชมชอบกลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่ผู้คนต่างให้การยอมรับได้นั้น มิใช่เป็นเรื่องบังเอิญและมิใช่เป็นของง่ายๆแต่อย่างใด เพราะทุกๆท่านที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ล้วนแล้วแต่มีศักยภาพของความเป็นผู้นำที่สุดแสนพิเศษ
“นายกรัฐมนตรีวิลสตัน เชอร์ชิลล์” มีวิสัยทัศน์กว้างไกลที่สามารถปลุกใจให้ชาวอังกฤษลุกขึ้นต่อสู้กับนาซีจนเอาชนะได้ใน สงครามโลกครั้งที่สอง
“ประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน” เล็งเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นรากฐานในการสร้างระบอบประชาธิปไตยได้อย่างมั่นคง โดยเขาปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งกษัตริย์ตามข้อเสนอจากผู้นำส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ เมื่อครั้งที่สหรัฐฯกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
ส่วน “ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น” เป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รับการยอมรับจากนักประวัติศาสตร์ สืบเนื่องมาจากท่านสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตที่เกิดสงครามกลางเมือง และนำประเทศไปสู่การเลิกทาสจนเป็นผลสำเร็จ
ส่วนความยิ่งใหญ่ของ “ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี.รูสเวลล์” ซึ่งท่านเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯเพียงท่านเดียวเท่านั้น ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯถึงสี่สมัย โดยท่านสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ครั้งนั้นสุดแสนจะเลวร้ายจนสามารถนำพาประเทศชนะสงครามโลกครั้งที่สองได้
และหากเราจะวิเคราะห์ถึงสภาวะการเป็นผู้นำของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” แล้วนั้น จะเห็นได้ว่าขณะที่ท่านกำลังก้าวเข้าสู่ตำแหน่ง สหรัฐฯกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตในทุกๆด้าน อีกทั้งการที่ท่านต้องเข้ามาสืบทอดตำแหน่งภายใต้การบริหารของ “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ที่มีนโยบายค่อนข้างแปลกแหวกแนว อาทิ “อเมริกาต้องมาก่อน” อีกทั้งพฤติกรรมที่ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงออกไม่ว่าจะเป็นด้านดูหมิ่นต่อความสัมพันธ์ที่สหรัฐฯเคยมีกับพันธมิตรเก่าแก่ การยกเลิกความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก ด้านที่อ่อนแอหย่อนยานไม่เอาจริงเอาจังต่อการแก้ไขปัญหาโรคระบาดโควิด -19 จนมีผลทำให้เศรษฐกิจต้องย่ำแย่เลวร้าย ด้านความดื้อแพ่งไม่แยแสต่ออันตรายของสภาวะโลกร้อน ด้านการไม่ห่วงใยประชาชนที่เขาพยายามจะยกเลิกสวัสกชดิการสุขภาพ “โอบามาแคร์” และด้านไม่สร้างความเสมอภาคเท่าเทียมกันในการจ้างงาน
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ระยะเวลาเพียงแค่หกเดือนกว่าๆประธานาธิบดีโจ ไบเดน สามารถสร้างผลงานต่างๆเกินความคาดหมายที่แสนจะแตกต่างแบบหน้ามือเป็นหลังมือกับอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะขณะที่เขาดำรงอยู่ในตำแหน่งนั้น เขาพ่นพิษเทขยะสกปรกทิ้งเอาไว้ในสังคมอเมริกันให้ประธานาธิบดีไบเดนเข้าไปทำการสะสางสังคายนา!!!
และตั้งแต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ารับการสาบานตน เขาก็ได้จรดปากกาลงนามในร่างกฎหมายบรรเทาทุกข์จากโรคโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อใช้เพิ่มความรวดเร็วในการจัดการหาวัคซีน โดย ณ วันดังกล่าวมีผู้สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนเพียงวันละ 1,133 คน ซึ่งเป็นสาเหตุของการสูญเสียชีวิตในสหรัฐอเมริกาช่วงต้นปี 2021และในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 โดยเฉลี่ยแล้วมากกว่า 2,400 รายต่อวัน ช่างแสนสะเทือนใจเพราะผู้เสียชีวิตบางรายไม่สามารถทำพิธีทางศาสนาได้เลย
และในวันกล่าวปราศรัยต่อคนอเมริกันเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2021 ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้กล่าวว่า “เราไม่สามารถยอมรับในชะตากรรมอันแสนโหดร้ายที่มียอดของผู้เสียชีวิตเกินกว่า 500,071 ราย ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่สยดสยองกระทบกระเทือนจิตใจอย่างแท้จริง และสหรัฐฯจะต้องต่อต้านกับความเศร้าโศกในครั้งนี้ให้ได้” และประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังได้เรียกร้องให้ชาวอเมริกันช่วยกันต่อสู้กับโรคโควิดไปด้วยกัน
โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจำนวนมหาศาลนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้กล่าวว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ในสหรัฐอเมริกานั้นสูงกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามครั้งที่สอง และ สงครามเวียดนามรวมกันเสียอีก ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดนยังได้เสริมเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า “พวกเขาหลายๆคนต้องหมดลมหายใจแต่เพียงลำพัง”
ในวันกล่าวปราศรัยต่อคนอเมริกันทั่วประเทศนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้สั่งให้ลดธงชาติสหรัฐฯในสถานที่ที่เป็นทรัพย์สินของรัฐบาลกลางลงทั้งหมดครึ่งเสา
อนึ่งเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2020 ในการกล่าวสุนพจน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ครั้งแรกหลังจากที่เขาเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล สืบเนื่องจากโรคโควิด-19 นั้น เขายืนอยู่บนระเบียงทำเนียบขาวและเอ่ยถ้อยแถลงเกี่ยวกับโรคไวรัสโคโรนาออกมาว่า “มันจะหายไปเองและมันกำลังหายไป”
จากรายงานของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2020 ว่า ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2020 ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวถึง 38 ครั้งว่า โรคโควิด-19 กำลังจะหายไปหรือกำลังจะหมดไป!!!
และเพื่อเพิ่มความมั่นใจทางด้านสาธารณะสุข ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้แต่งตั้ง “ดร.แอนโธนี ฟาวซี” ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาทางการแพทย์ แถมด้วยการยกระดับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ขึ้นในตำแหน่งเทียบเท่ากับคณะรัฐมนตรีเลยทีเดียว
สำหรับการการฟื้นฟูทางด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดน สามารถผ่านแผนการกู้ภัยแห่งอเมริกันมูลค่า 1.9 ล้านล้านเหรียญ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2021 ที่ถือว่าเขาได้รับชัยชนะทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยคนอเมริกันจะได้รับเช็คเป็นเงิน 1,400 เหรียญ (ราวๆ 42,000 บาท) เพื่อช่วยรับมือกับความยากลำบากที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด-19
อนึ่งจากการหยั่งเสียงของสำนัก Pew Research เปิดเผยเอาไว้เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2021 ว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่แล้วให้การสนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดนมากถึง 70%
ทั้งนี้จะเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนเลยว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตั้งแต่ท่านก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน มุ่งเน้นหนักทางด้านแก้ไขการระบาดของโรคโควิด-19 เป็นอันดับแรก เนื่องจากคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของคนอเมริกัน!!!
ในขณะที่สหรัฐฯมีประธานาธิบดีชื่อว่า “โจ ไบเดน” เข้ารับตำแหน่งนั้น ปรากฏว่าจำนวนของคนว่างงานอยู่ที่ 6.4% แต่ในเดือนกรกฎาคม 2021 ที่เพิ่งผ่านมานี้ จากสำนักงานสถิติได้ออกมาเปิดเผยว่า สหรัฐฯมีจำนวนของผู้มีงานทำเพิ่มถึง 942,000 คน และจำนวนคนว่างงานลดลงเหลือเพียง 5.4% ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาด
นอกจากนั้นแล้วยังปรากฏผลของการสำรวจที่เปิดเผยในนิตยสาร Newsweek เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2021 นี้ที่ว่า ขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับคะแนนนิยมสูงในอับดับที่ 11 จากประธานาธิบดีของสหรัฐฯที่ผ่านมาทั้งหมด 45 คน
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้น เนื่องจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เผชิญต่อปัญหาที่สลับซับซ้อนถาโถมเข้าใส่อย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการต่อต้านหัวชนฝาของวุฒิสมาชิกในค่ายพรรครีพับลิกันแทบทุกๆนโยบาย แต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ปรากฏว่า วุฒิสมาชิกในค่ายพรรครีพับลิกัน 18 คนกลับใจหันไปลงมติสนับสนุนเห็นชอบต่อร่างกฎหมายโครงสร้างขั้นพื้นฐานมูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญ และเมื่อมองจากภาพรวมแล้วการที่ใช้นโยบายแบบประนีประนอมสุขุมรอบคอบ อดทน และ เด็ดเดี่ยวของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีผลทำให้ท่านสามารถสร้างผลงานชิ้นโบว์แดงทั้งด้านการแก้ไขปัญหาโรคระบาดโควิด-19ให้เบาบางลง รวมถึงสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆและหากว่าสวรรค์เป็นใจเปิดทางสะดวกไม่ทำให้ท่านต้องสะดุดต่อสถานการณ์ที่อาจจะเกิดเลวร้ายขึ้นในอนาคต โอกาสที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะได้รับความนิยมเป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่อีกท่านหนึ่งของสหรัฐฯย่อมมีความเป็นไปได้สูงมากละครับ