เมื่อวันที่ 11 ส.ค.นายนพดล ปัทมะ ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย และอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และ 91โดยคณะกรรมาธิการของรัฐสภาที่จะแก้ไขระบบเลือกตั้งไปใช้บัตร 2 ใบและกำหนดจำนวนและที่มาของส.ส. จากเขตเลือกตั้ง 400 คน และจากบัญชีรายชื่อ 100 คนว่า ในประเด็นนี้พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้านเคยเสนอญัตติแก้ไขระบบเลือกตั้ง กลับไปใช้บัตรเลือกตั้งสองใบไปตั้งแต่ปี 2563 และต่อมาในปี 2564 พรรคเพื่อไทยได้ยื่นแก้ในประเด็นเดียวกันนี้อีกครั้ง ส่วนพรรคพลังประชารัฐนั้นได้ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญในหลายประเด็นรวมถึงการแก้ระบบเลือกตั้งด้วยในปี 2564   ดังนั้นพรรคเพื่อไทยมีจุดยืนในเรื่องระบบเลือกตั้งชัดเจนต่อเนื่องและเป็นผู้นำในการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ได้เดินตามและไม่ได้ฮั้วกับพรรคพลังประชารัฐ           นายนพดล กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นระบบเลือกตั้งไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่จะทำให้ มีระบบเลือกตั้งที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน โดย ส.ส.มาจาก 2 ทางที่แยกจากกันชัดเจน แตกต่างจากระบบจัดสรรปันส่วนผสม คือ "ส.ส.เขต" เขตละคน 400 คนและ "ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์" 100 คนซึ่งคำนวณจากคะแนนพรรคบัตรใบที่สอง การมี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ที่คำนวณคะแนนแยกจาก ส.ส.เขต จะเปิดทางให้คนเก่งในด้านต่างๆเข้ามาทำงานการเมืองมากขึ้น และที่สำคัญจะทำให้มีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีเสถียรภาพ เป็นรัฐบาลน้อยพรรค ลดการต่อรองทางการเมือง สามารถผลักดันนโยบายที่หาเสียงไปเป็นนโยบายรัฐบาลแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ส่วนที่คิดกันไปว่าระบบเลือกตั้งแบบใหม่ที่ใช้บัตร 2 ใบคล้ายที่ใช้ในรัฐธรรมนูญปี 40 นี้จะเอื้อให้กับพรรคขนาดใหญ่นั้น ตนเห็นว่าเราต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชนว่าจะกาให้ผู้สมัครคนใดในบัตรใบแรก และกาให้พรรคใดในบัตรใบที่สอง และทุกพรรคสามารถส่งผู้สมัครได้เท่าเทียมกัน และในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง พรรคจะได้ที่นั่งเพิ่มหรือลดก็อยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนว่าเห็นด้วยกับตัวบุคคล ผู้นำ นโยบาย และผลงานของแต่ละพรรค มากกว่าที่จะได้เปรียบเสียเปรียบจากระบบเลือกตั้ง