หลวงพี่น้ำฝน นำทนายความ ไวยวัจกรวัด ตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน หน้าเมรุยันดำเนินการจดทะเบียนรถหรู ตามกระบวนการเสียภาษี พร้อมบอกปลงตามตามหลักธรรม เกิด แก่ เจ็บตาย พร้อมให้ข้อมูลทุกอย่างกับดีเอสไอ ด้านทนายแจงตอนนี้ยังไม่ได้มีข้อกล่าวหาเพียงเป็นข้อสงสัย แต่หากผิดจริง ต้องถามกลับไปว่า กรมศุลกากร ขนส่ง สรรพสามิต ปล่อยเรื่องนี้มาได้อย่างไร เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 26 สิงหาคม 59 ที่บริเวณ ศาลาชีวะศิริ ฌาปนสถานปลอดมลพิษ วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือิง จ.นครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม พร้อมด้วย นายศุภภัทรพจน์ นิติศศธร ทนายความ และไวยาวัจกร วัดไผ่ล้อม ได้เปิดแถลงข่าว หลังจากที่ สืบเนื่องจากเมื่อวันศุกร์ที่ 22 กรกฏาคม 2559 ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้แถลงข่าวกรณีรถโบราณ จากัวร์ เพ็นเทอร์ ซึ่งมีชื่อของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เป็นผู้ครอบครอง โดยได้แถลงความคืบหน้า ในการตรวจสอบรถยนต์จดประกอบ คันดังกล่าวว่า ผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น เป็นการตั้งใจหลีกเลี่ยงภาษีอากรโดยเจตนา และได้มีการปลอมลายมือชื่อของนายชรินทร ปถคามินทร์ เป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์ ในทางคดีเห็นว่ามีความผิด ฐานหลีกเลี่ยงอากรตาม พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 27 ประกอบ พ.ร.ก. พิกัดอัตราศุลกากร นายศุภภัทรพจน์ นิติศศธร ทนายความ และไวยาวัจกร วัดไผ่ล้อม ได้เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2556 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้มีหนังสือที่ ยธ 0800.4/471มายังพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) ขอเชิญให้นำรถยนต์โบราณ จากัวร์ เพ็นเทอร์ เข้าทำการตรวจสอบ ครั้งที่ 1 และพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) ได้นำรถยนต์ดังกล่าว ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้ทำการตรวจสอบ โดยมีหน่วยงานราชการต่างๆ ร่วมทำการตรวจสอบ คือ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สถาบันมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมการขนส่งทางบก กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และกรมสรรพากร และได้มีการประสานงานให้ข้อมูลเรื่อยมา และมีการแถลงข่าวไปแล้วก่อนหน้าซึ่งพร้อมจะมีการให้ข้อมูลกับ ทาง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทั่งวันที่ 22 กรกฎาคม 2559 กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ได้มีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า รถโบราณ จากัวร์ เพ็นเทอร์ ซึ่งมีชื่อของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์(หลวงพี่น้ำฝน) เป็นผู้ครอบครอง ผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น เป็นการตั้งใจหลีกเลี่ยงภาษีอากรโดยเจตนา โดยสำแดงนำเข้าโครงรถยนต์เป็นเพ็นเทอร์ สำแดงเครื่องยนต์เป็นจากัวร์ แต่แท้จริงแล้ว รถดังกล่าวเป็นยี่ห้อเพ็นเทอร์ไม่ใช่จากัวร์ รวมทั้งมีการปลอมลายมือชื่อของ นายชรินทร ปถคามินทร์ เป็นผู้นำเข้าเครื่องยนต์ จากหลักฐานเชื่อว่ารถคันดังกล่าว มีการแยกชิ้นส่วนมาจดประกอบจริง ในทางคดีเห็นว่าผู้นำเข้าเครื่องยนต์และตัวถัง มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ถือเป็นบุคคลเดียวกันและถือเป็นผู้มีความผิดฐานหลีกเลี่ยงอากรตาม พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 27 ประกอบ พ.ร.ก. พิกัดอัตราศุลกากร นายศุภภัทรพจน์ กล่าวว่า เมื่อปี พ.ศ. 2554 พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) ได้เดินทางไปที่ เมืองลอสแองเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้รับกิจนิมนต์ เพื่อไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเจริญพุทธมนต์ ตามตำรับของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล อัตตะรักโข และเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับญาติโยม ที่ประกอบอาชีพร้านอาหารไทย ณ เมืองลอสแองเจลิส และในวันดังกล่าว ได้มี นายสมเชษฐ เขมทัต เจ้าของร้านอาหารไทย ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธา ในพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) แจ้งว่ามีรถยนต์โบราณคันหนึ่ง ยี่ห้อจากัวร์ เพ็นเทอร์ ซึ่งเคยใช้งานได้เมื่อหลายปีก่อน ต่อมาไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากมีสภาพเก่าทรุดโทรม เพราะรถมีอายุกว่า 40 ปี เครื่องเสียหาย ได้ถอดเครื่องฯทิ้งไปแล้ว อะไหล่หลายชิ้นพังเสียหาย ไม่สามารถใช้การ ได้ถอดออก คงเหลือแต่โครงรถยนต์ ได้ตบแต่งเป็นรถยนต์โบราณ จอดโชว์ไว้หน้าร้านอาหาร นายสมเชษฐ เขมทัต แจ้งความประสงค์ถวายรถยนต์โบราณ ดังกล่าว เพื่อมาจอดโชว์ไว้ ที่วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม เพื่อเป็นกุศโลบายให้คนเข้าวัดมากขึ้น ซึ่งพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เห็นว่าเป็นเจตนาที่ดี ภายหลังกลับมาจากสหรัฐอเมริกาแล้ว พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) ได้นำเรื่องมาปรึกษากับ นายเติมศักดิ์ ปิติธนสารสมบัติ ลูกศิษย์คนใกล้ชิด ซึ่งนายเติมศักดิ์ฯ เห็นด้วย และแจ้งว่าจะเป็นคนรับผิดชอบออกค่าใช้จ่ายเสียภาษีต่างๆ ให้เอง ต่อมา เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2554 นายสมเชษฐ เขมทัต ได้ส่งโครงรถยนต์เก่าจากัวร์ มายังประเทศไทย รวมทั้งอะไหล่ต่างๆบางส่วน ที่ยังใช้ได้ เช่นไฟหน้า ไฟท้าย รวมมาด้วย ส่งมาในนาม นายชรินทร ปถคามินทร์ โดยนายสมเชษฐ์ฯ แจ้งว่านายชรินทรฯ เป็นอู่รถยนต์จดประกอบ ส่วนเครื่องยนต์ยังไม่ส่งมา ให้แจ้งว่ายังไม่สามารถหาเครื่องยนต์ได้ และต่อมา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2554 นายสมเชษฐ์ฯ ได้ส่งเครื่องยนต์เบนซินเก่าใช้แล้ว ยี่ห้อจากัวร์ และอะไหล่รถยนต์เก่าใช้แล้ว มายังประเทศไทย โดยส่งมาในนามพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) และท่านได้สอบถามไปยังนายสมเชษฐ์ฯ ทราบว่านายชรินทรฯ มีปัญหาเรื่องคดีความ และได้หลบหนีไปจากภูมิลำเนาแล้ว จึงส่งมาในนาม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) ในการเสียภาษีศุลกากร และค่าธรรมเนียมการนำเข้าต่างๆ นายเติมศักดิ์ฯ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ภายหลังจากนั้น เมื่อนายชรินทรฯ มีปัญหาเรื่องคดีความ และได้หลบหนีไปจากภูมิลำเนาแล้ว จึงไม่อาจประกอบรถยนต์คันดังกล่าว ที่อู่ของนายชรินทรได้ ลูกศิษย์ของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) จึงได้นำโครงรถยนต์ เครื่องยนต์ และอะไหล่บางส่วน นำไปประกอบที่อู่ของนายธีรวุฒิ แดงท่าไม้ ซึ่งโรงงานตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรสาคร และนายธีรวุฒิฯ ได้ประกอบและซ่อมรถยนต์ดังกล่าว โดยสั่งซื้ออะไหล่ต่างๆ จากประเทศไทย และนำไปจดประกอบ รวมทั้งนำไปจดทะเบียน ที่กรมการขนส่งทางบก ตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยค่าใช้จ่ายต่างๆทั้งหมด นายเติมศักดิ์ฯ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ก่อนที่จะนำมาตั้งโชว์ไว้ที่วัดไผ่ล้อม ตามเจตนาของผู้ถวายข้างต้นนั้น “ส่วนรถยนต์คันนี้ จะเรียกยี่ห้อจากัวร์ เพ็นเทอร์ หรือเพ็นเทอร์ จากัวร์ เป็นเรื่องของกรมการขนส่งทางบก รวมทั้งไม่ทราบเรื่องการปลอมลายมือชื่อ ของนายชรินทรฯ เนื่องจากไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในการนำเข้ารถยนต์คันดังกล่าว และเรื่องการดำเนินการต่างๆหลวงพี่น้ำฝน ท่านไม่ได้เข้าไปยุ่ง และข้อสำคัญที่อยากจะฝากคือการเสียภาษีหรือค่าใช้จ่ายใดใด หลวงพี่น้ำฝนท่านไม่จำเป็นต้องจะไปหลบเลี่ยงเนื่องจาก มีคุณเติมศักดิ์ ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาได้พร้อมจะนำถวายทั้งหมด และหากว่ามีการแจ้งความผิด หน่วยงานทั้ง กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต กรมการขนส่งทางบกก็น่าจะมีปัญหาด้วย เนื่องจากปล่อยให้มีการดำเนินการเรื่องนี้มาได้อย่างไร” นายศุภภัทรพจน์ กล่าวปิดท้าย ด้าน พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่า รถยนต์คันดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากคนที่ถวายมานั้นต้องการให้เป็นวิทยาทาน เป็นกุโลบายเท่านั้นเอง และข่าวที่ออกมาก็บอกว่าเรื่องนี้เป็นความมักมากของพระสงฆ์ก็สร้างความเสียหาย แต่ข่าวดีดีทำไมไม่มาถามบ้างว่า ที่สร้างวัด หมดเงินไป 400-500 ล้านบาท สร้างโรงเรียนนั้นมีคุณประโยชน์เท่าไหร่ ทำไมไม่มีใครมาตรวจสอบบ้าง หลวงพี่น้ำฝน กล่าวอีกว่า ตอนนี้ให้ทนายความดำเนินการตามกระบวนการเพราะตนเองเป็นพระไม่เข้าใจทางด้านก็หมาย ก็พร้อมจะให้ข้อมูลไป ซึ่งตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ขอให้มีการส่งเอกสารต่างๆ ก็ทำไปให้แล้ว ( DSI) ก็เงียบไป จนกระทั่งมาถึงจู่ๆก็มาแถลงว่ามีความผิด อยากจะให้ตรวจสอบว่าตนเองนั้นผิดเรื่องไหนอย่างไร ซึ่งตอนนี้รถคันที่มีปัญหาก็มีลูกศิษย์ลูกหาสอบถามว่าจะขอถวายเงินทำบุญซึ่งก็เป็นเงินไม่น้อย โดยตอนนี้ก็ยังขาดเงินในการก่อสร้างโบสถ์ อีก 50 ล้านบาท ไหนจะพัฒนาโรงเรียนโดยรอบ ช่วยเหลือโรงพยาบาล และสนับสนุนการทำงานของตำรวจ เรื่องนี้ก็ทำมาเป็นรูปธรรม “ตอนนี้อาตมาปลงแล้ว ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ ว่ากันไปตามกฎเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ว่าใครรวยล้นฟ้าหรือจนอย่างยาจก ก็ไม่มีใครหนีสิ่งนี้ไปได้ และทำไมอาตมาต้องมาพูดปด เรื่องนี้ตรวจสอบได้ และที่มาภาษีก็ได้เสียตามกรมศุลกร สรรพสามิตร ก็กำหนดให้เป็นไปตามแบบทั้งหมดไม่เช่นนั้นจะออกมาได้อย่างไร ก็ยังงงว่า จู่ๆก็มีการแถลงข่าวว่ามีความผิด อาตมาก็งงว่าเรื่องนี้มาได้ยังไง” หลวงพี่น้ำฝนกล่าวปิดท้าย ทั้งนี้ในส่วนทางคดี ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ยังไม่ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาเป็นเอกสาร ซึ่งในขั้นตอนหากมีการเรียกตัวพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) ก็พร้อมจะมีการส่งเอกสาร และให้ทนายความไปให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ต่อไปตามขั้นตอน