เมื่อวันที่ 25 ก.ค.64 นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ และนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้แถลงถึงปัญหาและความไม่ชอบมาพากลในการพิจารณางบประมาณ 65 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ตนในนามของพรรคโดยพบว่าการทำงานกมธ.ชุดใหญ่พบว่า การจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลที่ให้กับหน่วยงานราชการต่างๆ มีความล้มเหลว และไม่สอดคล้องสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยประชาชนต้องเผชิญกับวิกฤตเรายังเห็นหน่วยงานราชการที่ของบไปใช้อย่างฟุ่มเฟือยไม่จำเป็น เช่น กระทรวงการต่างประเทศที่ของบจัดซื้อรถให้ท่านทูตคันละ 3-4 ล้านบาท จำนวน 14 คัน ขอซื้อผ้าม่าน เครื่องอุ่นจาน รวมไปถึงงบปรับปรุงสนามเทนนิส กระทรวงวัฒนธรรม ที่ของบกิจกรรมท้องถิ่นของชายแดนภาคใต้ แต่กลับนำมาจัดงานแฟชั่นวีคที่กรุงเทพฯ "เรายังพบว่ามีการใช้อำนาจทางการเมืองเข้าไปแทรกแซงการทำงานของราชการเพื่อเอื้อผลประโยชน์ให้กับฐานเสียงของพรรคพวกของตน อย่างเช่นในห้องประชุมที่มีการถามถึงการจัดสรรวัคซีนว่าทำไมมีบางจังหวัดที่ได้รับวัคซีนในส่วนที่สูง ทั้งที่ไม่ใช่พื้นที่สีแดงไม่ใช่จังหวัดเป้าหมายหลักในการท่องเที่ยว" นายปกรณ์วุฒิกล่าว นายปกรณ์วุฒิกล่าวอีกว่า เราขอเรียกร้องให้มีการเปิดเผยให้โปร่งใสในขั้นตอนการพิจารณาที่เพิ่มมากขึ้นคือ 1.มีการจัดเอกสารฝ่ายเอ็กซ์เซล 2.เอกสารที่หน่วยงานมอบให้กับกรรมาธิการและอนุ ใช้ในการพิจารณาต้องส่งล่วงหน้าและสามารถอัพโหลดเป็นไฟล์ดิจิตอลได้ และ3.การประชุมกรรมาธิการ อนุกมธ. ต้องถ่ายทอดสดช่องทางใดช่องทางหนึ่งและบันทึกเก็บไว้ได้ ขณะที่ นายจิรัฏฐ์ กล่าวว่า งบประมาณปีนี้หน่วยงานไม่ได้จัดงบให้เหมาะสมกับสถานการณ์โรคระบาด แต่เป็นการจัดทำงบประมาณแบบปกติ ทำให้เห็นว่าการขอซื้อบางอย่างเราเห็นแล้วเสียความรู้สึก เช่น ซื้อเครื่องอุ่นจาน เครื่องคั้นผลไม้แบบแยกกาก ตู้แช่ไวน์ ส่วนกรมประชาสัมพันธ์จะจัดทำแอปพลิเคชันแอนตี้เฟคนิวส์ ในงบ 50 ล้านบาท ขณะที่สำนักเลขาทำเนียบรัฐบาลจะปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยของทำเนียบโดยใช้งบกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเลื่อนออกไปก่อนได้เพราะด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน แต่สุดท้ายแล้วคณะอนุกมธ.ก็เลือกตัดงบแบบล่ำซำ คือให้หน่วยงานเป็นคนเลือกตัดงบเอง โดยปัญหาที่พบเกิดจากความบกพร่องของกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลในปัจจุบัน ด้าน นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลมี 4 ข้อข้องใจในการพิจารณางบประมาณคือ 1.เข้าห้องเย็น คือการเจรจานอกรอบแบบลับๆ ของหน่วยงานที่จะเข้าพบกมธ. ซึ่งการเจรจาแบบนี้ก็ห้ามยาก 2.การขู่เชือดหนัก กรณีนี้มีบ้างแต่ไม่มาก เช่น กมธ.บางท่านขู่จะตัดงบ 20% หรือ 50% 3.ของข้าใครอย่าแตะ ถือเป็นความสุดโต่ง ซึ่งงบประมาณต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และ4.ขอทอนคืน คือพรรคพยายามตัดลดแล้ว และหน่วยงานเองก็ยอมตัดลดแล้ว แต่มีกมธ.บางท่านที่อยากเอาใจหน่วยงานเสนอให้ไม่ต้องปรับลด แล้วใช้เสียงข้างมากดันผ่านการตัดได้แล้วทอนคืนไป