เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 18 ก.ค. 64 พ.ต.อ.สุกิจ ก้องจตุศักดิ์ ผู้กำกับการตำรวจตระเวณชายแดน 13 พร้อม พ.ต.ต.วัฒนพล ดาแก้ว ผู้บังคับกองร้อย ตำรวจตระเวนชายแดน 137 พ.ต.อ.เชิดพงษ์ ชูกลิ่น ผู้กำกับการพิสูจน์หลักฐาน จ.ราชบุรี และนายศุภสิทธิ์ ถีราวุฒิ ปลัดอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี ได้นำของกลางที่ยึดมาได้จากเครือข่ายยาเสพติด ซึ่งประกอบด้วย ยาบ้าจำนวน 100,000 เม็ด ยาไอซ์ 1.2 กิโลกรัม ยาเคตามีน 400 กรัม และรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ ฮอนด้า ซิตี้ สีขาว ป้ายแดง หมายเลขทะเบียน ภ-9764 กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นรถยนต์ที่คนร้ายใช้ขนยาเสพติด และขับพุ่งชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจจนได้รับความเสียหายทั้งสองคัน ก่อนจะวิ่งหลบหนีและถูกเจ้าหน้าที่ไล่จับกุมมาได้ (มีคลิปภาพตอนไล่จับกุม) มาแถลงที่หน้ากองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน 137 ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่ ตชด.137 ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า นายจักราวุฒิ เกาโพธิ์แก้ว อยู่ม.5 ต.เขาย้อย อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี มีพฤติการณ์จำหน่ายยาบ้าในพื้นที่ ต.เขาย้อย จึงได้ส่งสายลับไปทำการล่อซื้อ และเข้าตรวจสอบที่บ้านของนายจักราวุฒิ พบยาบ้าจำนวน 2,000 เม็ด ซึ่งนายจักราวุฒิ นั้นให้การรับสารภาพว่า ยาบ้านั้นรับมาจากนายชูเกียรติ มุมมาลา ซึ่งเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊ค ที่อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่จึงได้ให้นายจักราวุฒิ นั้นได้ทำการสั่งยาบ้าจำนวน 6,000 เม็ด ยาไอซ์ จำนวน 200 กรัม จากนายชูเกียรติ โดยสั่งผ่านแอพพิเคชั่นแมสเซนเจอร์ และนัดรับของที่บริเวณถนนเพชรเกษม ต.โคกหม้อ อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งเมื่อถึงเวลานัด เจ้าหน้าที่ได้ดักซุ่มรออยู่ เมื่อเห็นรถยนต์ เก๋ง ป้ายแดง เลี้ยวเข้ามาจอดในบริเวณนั้น และนายชูเกียรติ ได้ส่งข้อความมาหานายจักราวุฒิ ว่านำของมาให้แล้ว และจอดรถรออยู่ตามที่นัดหมาย เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม แต่นายชูเกียรติ นั้นไหวตัวทันและพยายามจะขับรถหลบหนี โดยพุ่งชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจจนได้รับความเสียหาย ก่อนจะทิ้งรถแล้ววิ่งหลบหนี แต่ก็มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ติดตามจับกุมาได้
ซึ่งเมื่อตรวจค้นในรถยนต์ของนายชูเกียรติ พบยาบ้าจำนวน 10,000 เม็ด ยาไอซ์ 200 กรัม จากนั้นได้ขยายผลไปตรวจค้นที่บ้านของนายชูเกียรติ ที่กรุงเทพฯ พบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ในห้องนอน จำนวน 90,000 เม็ด ยาไอซ์ 1 กิโลกรัม ยาเคตามีน 400 กรัม จึงได้ยึดของกลางทั้งหมดมาตรวจสอบ ซึ่งนายชูเกียรติ ก็รับสารภาพว่ายาเสพติดทั้งหมดนั้นได้ติดต่อซื้อมาจาก นายเขียว ไม่ทราบนามสกุล เป็นชาวอำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยผ่านทางแอพพิเคชั่นแมสเซนเจอร์ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อนายเขียวได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะทำการขยายผลหาแหล่งที่มาของยาเสพติดได้
เบื้องต้นพ.ต.ต.วัฒนพล ดาแก้ว ผู้บังคับกองร้อย ตำรวจตระเวนชายแดน 137 เปิดเผยถึง มูลค่าของยาเสพติดที่สามารถจับกุมมาได้นั้น ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท แต่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากยาเสพติดชุดนี้ถูกนำออกไปจำหน่ายได้ นั้นไม่สามารถคิดเป็นมูลค่าได้
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่ ตชด.137 ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า นายจักราวุฒิ เกาโพธิ์แก้ว อยู่ม.5 ต.เขาย้อย อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี มีพฤติการณ์จำหน่ายยาบ้าในพื้นที่ ต.เขาย้อย จึงได้ส่งสายลับไปทำการล่อซื้อ และเข้าตรวจสอบที่บ้านของนายจักราวุฒิ พบยาบ้าจำนวน 2,000 เม็ด ซึ่งนายจักราวุฒิ นั้นให้การรับสารภาพว่า ยาบ้านั้นรับมาจากนายชูเกียรติ มุมมาลา ซึ่งเป็นเพื่อนในเฟสบุ๊ค ที่อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่จึงได้ให้นายจักราวุฒิ นั้นได้ทำการสั่งยาบ้าจำนวน 6,000 เม็ด ยาไอซ์ จำนวน 200 กรัม จากนายชูเกียรติ โดยสั่งผ่านแอพพิเคชั่นแมสเซนเจอร์ และนัดรับของที่บริเวณถนนเพชรเกษม ต.โคกหม้อ อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งเมื่อถึงเวลานัด เจ้าหน้าที่ได้ดักซุ่มรออยู่ เมื่อเห็นรถยนต์ เก๋ง ป้ายแดง เลี้ยวเข้ามาจอดในบริเวณนั้น และนายชูเกียรติ ได้ส่งข้อความมาหานายจักราวุฒิ ว่านำของมาให้แล้ว และจอดรถรออยู่ตามที่นัดหมาย เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม แต่นายชูเกียรติ นั้นไหวตัวทันและพยายามจะขับรถหลบหนี โดยพุ่งชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจจนได้รับความเสียหาย ก่อนจะทิ้งรถแล้ววิ่งหลบหนี แต่ก็มาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ติดตามจับกุมาได้
ซึ่งเมื่อตรวจค้นในรถยนต์ของนายชูเกียรติ พบยาบ้าจำนวน 10,000 เม็ด ยาไอซ์ 200 กรัม จากนั้นได้ขยายผลไปตรวจค้นที่บ้านของนายชูเกียรติ ที่กรุงเทพฯ พบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ในห้องนอน จำนวน 90,000 เม็ด ยาไอซ์ 1 กิโลกรัม ยาเคตามีน 400 กรัม จึงได้ยึดของกลางทั้งหมดมาตรวจสอบ ซึ่งนายชูเกียรติ ก็รับสารภาพว่ายาเสพติดทั้งหมดนั้นได้ติดต่อซื้อมาจาก นายเขียว ไม่ทราบนามสกุล เป็นชาวอำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี โดยผ่านทางแอพพิเคชั่นแมสเซนเจอร์ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อนายเขียวได้ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะทำการขยายผลหาแหล่งที่มาของยาเสพติดได้
เบื้องต้นพ.ต.ต.วัฒนพล ดาแก้ว ผู้บังคับกองร้อย ตำรวจตระเวนชายแดน 137 เปิดเผยถึง มูลค่าของยาเสพติดที่สามารถจับกุมมาได้นั้น ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท แต่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหากยาเสพติดชุดนี้ถูกนำออกไปจำหน่ายได้ นั้นไม่สามารถคิดเป็นมูลค่าได้