"บิ๊กเต่า"สั่งคุมเข้มสวนยางของนายทุนที่ผิดกฎหมาย หลังชุดพยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้ ตรวจพบมีการจ้างชาวบ้านนอกพื้นที่เข้ามาหาผลประโยชน์ พร้อมประสานผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด แจ้งผู้นำท้องถิ่นช่วยตรวจตราร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ วันที่ 12 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า (ศปก.พป.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำโดยนายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ พร้อมด้วยนายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ร่วมกับพันเอกพงษ์เพชร เกษสุภะ หัวหน้าชุดปฏิบัติการศูนย์การประสานการปฏิบัติที่ 4 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ศปป.4 กอ.รมน.) และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบสวนยางพาราของนายทุนรายใหญ่ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าภูเปือย ป่าภูขี้เถ้า และ ป่าภูเรือ ท้องที่ตำบลศิลา อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ หลังชุดการข่าวแจ้งว่า มีบุคคลเข้ามาลักลอบกีดยางพารา ทั้งที่สวนยางดังกล่าวถูกเจ้าหน้าที่แจ้งความดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ โดยปฎิบัติการครั้งนี้เป้าหมาย คือ สวนยางหลังบ้านหนองเขียว เนื้อที่หลายร้อยไร่บนเนินเขาที่มีความสูงชัน จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่พบแคมป์คนงาน 5 หลัง ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นของนายสุริน สีหสกุล ชาวอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติจึงขอเข้าตรวจค้นภายในที่พัก พบเลื่อยโซ่ยนต์ 1 เครื่อง พร้อมอาวุธปืนไทยประดิษฐ์อีก 3 กระบอกบริเวณที่นอน แต่เมื่อตรวจสอบโดยละเอียดพบอุปกรณ์การทำสวนยางภายในโรงเก็บของหลายรายการ เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งความดำเนินคดีฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ปี พ.ศ. 2490 และ เปลี่ยนแปลงพื้นที่ให้มีหรือใช้เลื้อยโซ่ยนต์แตกต่างจากใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ ปี พ.ศ. 2545 แล้วควบคุมตัวไปสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งจากข้อมูลเชิงลึกพบว่า นายสุรินเป็นลูกน้องคนสนิทของนายทุนใหญ่รายหนึ่งที่เป็นเจ้าของสวนยางอีกด้วย นายอรรถพล เจริญชันษา รองอธิบดีกรมป่าไม้ กล่าวว่า ปฎิบัติการครั้งนี้เป็นการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ฯ หลังจากการยางแห่งประเทศไทยได้ประสานความร่วมมือขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ควบคุมผลผลิตยางพาราในเขตป่า ทำให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ( พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ) ได้สั่งการให้ศูนย์ปฎิบัติการพิทักษ์ป่า เข้มงวดในการตรวจสอบสวนยางพาของนายทุนที่ผิดกฎหมาย ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลังจากพบข้อมูลว่า กลุ่มทุนที่ถูกดำเนินคดีมีความพยายามเข้ามาหาผลประโยชน์จากสวนยางที่ผิดกฎหมาย โดยใช้วิธีการจ้างคนงานต่างพื้นที่เข้ามากีดน้ำยาง ล่าสุด ศูนย์ปฎิบัติการพิทักษ์ป่าได้ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ร่วมถึงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 1-4 และ ศูนย์การประสานการปฏิบัติที่ 4 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เฝ้าตรวจตราไม่ให้มีการเข้าไปกีดยางในสวนยางของนายทุกที่ถูกดำเนินคดี จากข้อมูลของกรมป่าไม้พบว่า มีสวนยางประมาณ 30 ล้านไร่ อยู่ในเขตป่าไม้ 8.5 ล้านไร่ โดยอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 5.2 ล้าไร่ คาดว่าเป็นของนายทุนประมาณ 1.2 ล้านไร่ ยึดคืนได้ 150,000 ไร่ ซึ่งจะมีน้ำยาง 360,000 ตัน/ไร่/ปี ที่จะควบคุมไม่ให้ออกสู่ตลาด ส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ที่เข้าดำเนินการในวันนี้ มีสวนยางพาราในเขตป่าทั้งหมดกว่า 60,000 ไร่ สามารถทวงคืนได้ 23,000 ไร่ มีน้ำยาง 5.8 ตัน/ไร่/ปี ที่จะควบคุมไม่ให้ออกสู่ตลาด นอกจากนี้ กรมป่าไม้ มีแนวคิดจะนำพื้นที่สวนยางพาราของนายทุนที่ยึดได้ เปิดโอกาสให้ชุมชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์ในรูปแบบป่าชุมชน หรือ ใช้ประโยชน์ในรูปแบบสหกรณ์ชุมชน หรือ จะนำมาเป็นพื่นที่ป่าดังเดิม ส่วนในพื้นที่ป่าต้นน้ำชั้น 1 ชั้น 2 จะต้องควบคุมโดยเปลี่ยนจากสวนยางพาราที่เป็นพืชเชิงเดี่ยวให้เป็นป่าแบบผสมผสาน เพื่อให้ป่าต้นน้ำมีความสมดุลในเรื่องการอนุรักษ์ดินและน้ำ ไม่ใช่สวนยางเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นายอรรถพล กล่าว.