คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ในช่วงแรกๆที่เชื้อไวรัสโควิด 19 กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักไปทั่วโลกนั้น ปรากฏว่า“ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” พยายามกักตุนวัคซีนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อนำไปใช้ฉีดป้องกันให้แก่อเมริกันชน ในขณะที่รัสเซียและจีนมีน้ำจิตน้ำใจออกมาช่วยเหลือยื่นมือแจกจ่ายวัคซีนไปยังประเทศต่างๆทั่วโลกที่กำลังขาดแคลน
แต่ทว่าต้นเดือนพฤษภาคม 2021 ที่ผ่านมานี้ประธานาธิบดีโจไบเดน เริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ โดยเปิดฉากใช้วัคซีนเป็นอาวุธสำคัญรวมถึงใช้เป็นเครื่องมือทางการทูตสร้างไมตรีจิตกับนานาประเทศที่กำลังขาดแคลนทั่วโลก โดยดำริจะบริจาควัคซีนแอสตร้าเซนีก้าจำนวน 60 ล้านโดส โดยเขาออกมากล่าวว่า เพื่อมนุษยธรรม ขณะที่มีผู้คนเสียชีวิตไปแล้วทั่วโลกกว่าสามล้านสองแสนคน และยังมีผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลกอีกกว่า 1.2 พันล้านคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอินเดียมีผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นกว่ายี่สิบล้านคน!!!
และถึงแม้ว่าสหรัฐฯแจ้งเจตน์จำนงค์ต้องการที่จะบริจาควัคซีนถึง 60 ล้านโดสก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าล้าหลังจีนที่บริจาควัคซีนไปแล้วถึง 217 ล้านโดส และยังมีสหภาพยุโรปออกมาบริจาควัคซีน 94 ล้านโดส อินเดียบริจาควัคซีนที่ 67 ล้านโดส รวมถึงรัสเซียก็ร่วมบริจาคด้วยที่ 12 ล้านโดส (Biden Gets U.S. Into Vaccine Diplomacy Race as Stockpiles Rise, Bloomberg, May 5, 2021)
การที่ช่วงแรกๆสหรัฐฯยังล้าหลังลังเลใจที่จะนำวัคซีนออกมาแจกจ่ายให้แก่นานาชาติก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำลังเป็นม้าตีนปลายเป็นฝ่ายรุก สืบเนื่องมาจากปริมาณการผลิตวัคซีนในสต๊อคเพิ่มสูงมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเป้าหมายหลักในการที่สหรัฐฯประสงค์จะบริจาควัคซีนให้แก่ประเทศต่างๆทั่วโลกนั้น สืบเนื่องมาจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนเล็งเห็นว่า การกระทำเช่นนี้คือหัวใจสำคัญของนโยบายต่างประเทศ!!!
ส่วน “รัฐมนตรีต่างประเทศแอนโทนี เจ. บริงค์เคน” ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC เมื่อเร็วๆนี้ว่า การรณรงค์ให้ประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนทั่วทุกมุมโลกนั้น มีจุดประสงค์ต้องการที่จะให้นานาประเทศตระหนักว่าสหรัฐฯเป็นผู้นำโลก โดยเขากล่าวเน้นย้ำว่า “สหรัฐฯต้องการให้ทุกๆคนได้รับการฉีดวัคซีน เพื่อให้โรคโควิด19 ที่กลืนกินชีวิตผู้คนไปแล้วมากมาย จางหายไปจากโลกใบนี้”
นัยหนึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดนเล็งเห็นว่าการบริจาควัคซีนให้กับนานาชาติก็เพื่อต้องการให้ชาวโลกได้จดจำการเป็นมหาพันธมิตรอันดีของสหรัฐฯ
อนึ่งขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังออกโรงเริ่มนโยบายทางการทูตเรื่องวัคซีนนั้น ยังมีพี่น้องชาวไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งเคยพำนักอาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แต่ขณะนี้ได้เดินทางกลับมาอาศัยในประเทศไทยแล้ว ซึ่งพวกเขามีแนวความคิดว่าคนไทยที่มีสัญชาติอเมริกันและคนอเมริกันที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทยควรได้รับสิทธิ์ในการฉีดวัคซีนที่ประธานาธิบดีไบเดนมอบให้ โดยเขาได้โทรศัพท์ติดต่อพูดคุยกับผม ซึ่งผมเล็งเห็นว่า เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลควรสนับสนุน ผมจึงได้เสนอแนะให้พวกเขารวบรวมรายชื่อคนไทยที่มีสัญชาติอเมริกัน โดยผมจะช่วยรวบรวมคนอเมริกันที่พำนักอาศัยอยู่ในเมืองไทยเป็นเวลานานอีกแรงหนึ่ง แล้วนำไปเสนอต่อ “ฯพณฯอุปทูตไมเคล ฮีธ” ณ สถานทูตสหรัฐอเมริกา ประจำกรุงเทพฯ ซึ่งผมรู้จักกับท่านตั้งแต่ครั้งที่ท่านเคยดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่ประจำเชียงใหม่ ระหว่างปี 2013-2016
โดยบ่อยครั้งที่ท่านกงสุลใหญ่ไมเคล ฮีธ จัดกิจกรรมสำคัญๆที่สถานกงสุลใหญ่ จังหวัดเชียงใหม่ ท่านจะให้เกียรติเชิญ “ดร.ณรงค์ ชวสินธุ์” อธิการบดีมหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่และผมในฐานะที่ปรึกษาของท่านอธิการบดีไปร่วมในกิจกรรมนั้นๆด้วยแทบทุกครั้ง โดยกิจกรรมครั้งหนึ่งท่านกงสุลใหญ่ได้จัดรายการพิเศษในวันรัฐธรรมนูญสหรัฐฯซึ่งผมได้นำแบ่งปันเขียนบทความชื่อว่า “เส้นทางที่ยิ่งใหญ่ของระบอบประชาธิปไตยไทยกับสหรัฐอเมริกา” (ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ของวันที่ 5 กันยายน 2015)!!!
และในที่สุดแกนนำคนไทยกลุ่มนี้ ซึ่งกอปรด้วย “ดร.เมธา เลิศตำหรับ”นักเปียโนจากมหาวิทยาลัยอินเดียนา สหรัฐอเมริกา “คุณทวี ประยงค์รัตน์”อดีตนายกสมาคมกอล์ฟแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย “คุณไท รักสุข” นักวิชาการทางด้านศาสนา ที่พวกเขาสามารถรวบรวมรายชื่อคนไทย ที่ถือสัญชาติอเมริกันได้กว่าหนึ่งร้อยคน สมทบร่วมกับชาวอเมริกันส่วนหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ที่ผมมีเครือข่ายอยู่ โดยผมได้เขียนจดหมายถึง ฯพณฯ อุปทูต ฮีธว่า ชาวอเมริกันเหล่านั้นทำหน้าที่การงานอะไร? พร้อมทั้งแจกแจงเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้!!!
ทั้งนี้การที่แกนนำกลุ่มนี้ส่งจดหมายและรายชื่อทั้งคนไทยและรายชื่อคนอเมริกันทั้งหมดกว่า 150 ชื่อไปยัง ฯพณฯ อุปทูตไมเคล ฮีธ ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากท่านเป็นอย่างดี ตั้งแต่เริ่มแรกโดยท่านอุปทูตไมเคล ฮีธ ได้ส่งจดหมายที่ได้รับการร้องเรียนต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกาตามขั้นตอน โดยท่านบอกว่า “ผมยินดีที่จะรายงานข้อเรียกร้องนี้ไปยังกระทรวงต่างประเทศ และหากได้รับเรื่องราวใดๆก็จะเรียนให้ทราบในทันที”
สำหรับผลการตัดสินใจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เกี่ยวกับข้อเรียกร้องนี้ ได้กลายเป็นข่าวดังเกรียวกราวตามสื่อต่างๆ โดยฯพณฯ อุปทูตไมเคล ฮีธ ได้กล่าวรายงานเป็นภาษาไทยอย่างชัดถ้อยชัดคำที่เผยแพร่ออกมาในโลกโซเชียลเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2021 นี้ โดยท่านระบุว่า “ประธานาธิบดีโจ ไบเดนมีแผนที่จะส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพจำนวน 80 ล้านโดสให้กับประเทศต่างๆและจำนวน 23 ล้านโดสสำหรับชาวเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยด้วยที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพส่วนหนึ่งโดยไม่มีเงื่อนไข
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการที่สหรัฐอเมริกายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือประเทศไทยในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากมิตรภาพที่ดีที่ทั้งสองประเทศต่างก็มีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานเหนียวแน่นตั้งแต่ปี 1833 โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาจากวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่มีความมุ่งมั่นต้องการจะใช้วัคซีนเป็นเครื่องมือทางการทูต แถมยังเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมโลกทุกๆประเทศที่จะได้รับผลพลอยได้ และต้องขอกล่าวคำว่าขอบคุณต่อกลุ่มพี่น้องไทยที่ช่วยร่วมมือกันล็อบบี้ให้เกิดสิ่งดีๆเช่นนี้ขึ้นมา
สุดท้ายที่ผมขอขอบพระคุณ “ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์โชติ ธีตรานนท์”นายกสภามหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่สองสมัย รวมไปถึงต้องขอขอบพระคุณการหนุนใจที่ดีจาก “ดร.ศุภวัตร ภูวกุล”ปูชนียบุคคลที่ชาวล้านนา เมืองเชียงใหม่ให้ความเคารพนับถือ ที่ท่านทั้งสองได้เสนอแนะให้ผมเขียนบทความชิ้นนี้มา ณ ที่นี้ด้วยละครับ