เมื่อวันที่ 9 ก.ค.64 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย นายไชยยศ จิรเมธากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นางวรรณภรณ์ เกตุทัต ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ นายภูษิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี นายสุทัศน์ เงินหมื่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร น.ส.บุณย์ธิดา สมชัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส.จังหวัดอุบลราชธานีเขต 2 ติดตามความคืบหน้า“จับคู่กู้เงิน”สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก ที่โรงแรมสุนีย์แกรนด์ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นโครงการพิเศษที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ที่ผ่านมาโครงการ”จับคู่กู้เงิน”วันนี้เป็นโครงการภาค 2 จากภาคแรกที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว คือ โครงการ”จับคู่กู้เงิน” สถาบันการเงินกับร้านอาหาร เพื่อต่อลมหายใจให้กับร้านอาหารที่ประสบกับภาวะวิกฤตในช่วงโควิด และตนกำลังติดตามว่าผลสัมฤทธิ์ของโครงการภาคหนึ่งจะมีการอนุมัติเงินกู้ไปได้เป็นจำนวนเท่าไหร่ คาดว่าตัวเลขการอนุมัติไม่น่าจะต่ำกว่า 1,500-2,000 ล้านบาท โดยวันนี้เป็นภาค 2 โครงการ”จับคู่กู้เงิน”สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก เพราะ SMEs ที่ประกอบกิจการส่งออกมีจำนวนไม่น้อยในประเทศ โดย SMEs ทั้งประเทศมี 3,000,000 รายมี SMEs ส่งออกประมาณ 30,000 ราย คิดเป็น 1% แต่เป็น 1% ที่เป็นทัพหน้าในการทำรายได้ให้กับประเทศ จึงเป็นเป้าหมายที่ผมมอบหมายท่านปลัดกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานกับธนาคารเพื่อการนำเข้าและส่งออกหรือ EXIM Bank และ บสย.จับมือกันในการช่วยหาแหล่งสินเชื่อเงินกู้ให้ SMEs ส่งออกในภาคปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้จริงไม่ใช่แค่ตัวเลข เพราะขณะนี้ SMEs ไม่ประสบปัญหาเฉพาะภาคการผลิต การแปรรูป เทคโนโลยี และการตลาดเท่านั้น แต่ยังมีปัญหาใหม่คือขาดเงินทุนหมุนเวียนไปต่อยอดธุรกิจ ถ้าออเดอร์สั่งซื้อสินค้ามาในปริมาณมากแต่ไม่มีเงินก็จะไม่สามารถรับออเดอร์ได้เพราะไม่มีเงินไปผลิต ทั้งนี้จึงเป็นที่มาของโครงการ”จับคู่กู้เงิน”สถาบันการเงินกับ SMEs ส่งออก เพื่อต่อลมหายใจให้ SMEs ส่งออก และปฎิบัติภารกิจสำคัญในความรับผิดชอบของตนคือทำตัวเลขส่งออกให้ได้มากที่สุดภายใต้วิกฤตโควิด ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการจับมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สามารถทำให้การส่งออกขยายตัวถึง 41.59% และคาดว่าเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาตัวเลขการส่งออกยังเป็นบวกอยู่เช่นเดียวกัน เป็นสัญญาณที่เป็นข่าวดี ทำให้การส่งออกวันนี้เป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนจีดีพีหรือเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อไหร่ที่ตัวเลขส่งออกทำรายได้เข้าประเทศมากเงินรายได้ทั้งหมดที่เข้ามาในประเทศส่วนหนึ่งจะนำมาช่วยเหลือเกษตรกร จึงสำคัญสำหรับเกษตรกรพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งหมดทั่วทั้งประเทศด้วย สำหรับวันนี้ได้มาเปิดโครงการที่อุบลราชธานีเป็นแห่งแรกในภูมิภาค ขอเชิญชวน SMEs ส่งออกในภาคอีสานหรือในบริเวณนี้มาพบกับ เอ็กซิมและ บสย.ที่พร้อมช่วยเหลือในการปล่อยสินเชื่อและมีดอกเบี้ยผ่อนปรนเป็นกรณีพิเศษเช่น 1.ดอกเบี้ยคิดแค่ 3.99% จากปกติ 6.5% 2.ไม่ต้องมีหลักทรัพย์เพราะ บสย.จะช่วยค้ำให้ ปลอดค่าธรรมเนียม 2 ปี 3.ปกติใช้เวลา 1 เดือนในการพิจารณาแต่โครงการนี้จะพิจารณาให้จบใน 7 วันทำการ 4.ทุกรายที่ได้รับการอนุมัติเงินกู้จะมีกรมธรรม์ประกันการชำระเงินฟรีให้ 1 กรมธรรม์ สำหรับ shipment แรก ที่ส่งออกไป 5.จะอบรมหลักสูตรการส่งออกขั้นพิเศษให้ทุกคนได้มีความรู้องค์ความรู้เพิ่มเติมต่อไปด้วยเพื่อสามารถทำรายได้เข้าประเทศได้มากขึ้นต่อไป สำหรับที่จังหวัดอุบลราชธานีภาคอีสานวันนี้มีผู้ยื่นขอกู้มาแล้ว 26 รายเป็นวงเงิน 77.7 ล้านบาท EXIM Bank จะพิจารณาให้เสร็จใน 7 วันทำการ