บมจ. ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) ผู้ให้บริการด้านการประกันภัย จับมือ Productive Plus เปิดตัวโครงการกรมธรรม์ประกันภัยพืชผลอ้อยจากภัยแล้ง โดยใช้ดัชนีฝนแล้งและตรวจวัดด้วยดาวเทียม นำร่องลุยพื้นที่เกษตรไร่อ้อยจังหวัดชัยภูมิ ตั้งเป้าขยายช่วยเหลือเกษตรกรทั่วประเทศ ผศ.ชญณา ศิริภิรมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซมโปะ ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกมีความแปรปรวนสูง โดยภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ ภัยแล้ง อุทกภัย หรือพายุ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผลผลิตในภาคการเกษตร และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังรายได้ที่ไม่มั่นคงของเกษตรกร กลายเป็นประเด็นปัญหาสำคัญของประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้น เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการสร้างภูมิคุ้มกันและบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการผลิต ทางซมโปะ ประกันภัย จึงร่วมกับ Productivity Plus หรือบริษัท เพิ่มผลผลิต จำกัด และบริษัท มารูเบนิ (ประเทศไทย) จำกัด ออกแบบกรมธรรม์ประกันภัยพืชผลอ้อยจากภัยแล้ง โดยใช้ดัชนีฝนแล้ง (ตรวจวัดด้วยดาวเทียม) สำหรับรายย่อย (ไมโครอินชัวรันส์) เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยมีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงและบรรเทาความเดือนร้อนจากภัยธรรมชาติ “ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกอ้อยจำนวน 10,862,610 ไร่ทั่วประเทศ (ข้อมูลจากรายงานสถานการณ์การปลูกอ้อยปีการผลิต 2563-2564 สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย) ซึ่งอ้อยเป็นพืชผลที่ได้รับความเสี่ยงจากภัยแล้งอย่างมาก ส่งผลให้เกษตรกรไทยที่ปลูกอ้อยมักได้รับความเดือดร้อนจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน Productivity Plus และบริษัท มารูเบนิ ที่มีธุรกิจการเกษตรในเครือ เล็งเห็นถึงปัญหาเหล่านี้ และมีแนวคิดต้องการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กลุ่มลูกค้าเกษตรกรที่ซื้อปุ๋ย จึงร่วมมือกับซมโปะ ประกันภัยพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยการประกันภัยพืชผลอ้อยจากภัยแล้ง โดยใช้ดัชนีฝนแล้ง (ตรวจวัดด้วยดาวเทียม) คิดอัตราค่าเบี้ยประกันภัยตามขนาดของพื้นที่ของเกษตรกร ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย และทำให้ธุรกิจเกษตรในเครือสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” สำหรับรูปแบบการรับประกันภัยกรมธรรม์ประกันภัยการประกันภัยพืชผลอ้อยจากภัยแล้ง โดยใช้ดัชนีฝนแล้ง (ตรวจวัดด้วยดาวเทียม) ซมโปะจะใช้ข้อมูลน้ำฝนจากระบบดาวเทียม GSMAP โดยศูนย์ข้อมูลดาวเทียมของ The Remote Sensing Technology Center of Japan (RESTEC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับในประเทศญี่ปุ่น โดยมีเกณฑ์ของการจ่ายค่าชดเชยตามกรมธรรม์ดังนี้ 1.ถ้าปริมาณน้ำฝนสะสมที่ตกจริงสูงกว่าค่าดัชนีน้ำฝนสะสมที่กำหนดไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับภัยแล้ง ถือว่าไม่เกิดภัยแล้ง จะไม่มีการจ่ายค่าชดเชยใดๆ 2.ถ้าปริมาณน้ำฝนสะสมที่ตกจริงเท่ากับหรือต่ำกว่าค่าดัชนีน้ำฝนสะสมที่กำหนดไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับภัยแล้ง ให้คำนวณค่าชดเชยโดยใช้อัตราค่าชดเชยในกรณีเกิดภัยแล้ง คูณด้วย จำนวนเงินค่าชดเชยที่ระบุไว้ในหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งเงินจำนวนนี้ถือเป็นค่าชดเชยสำหรับภัยแล้ง แต่จะชดเชยไม่เกินดัชนีฝนแล้งขั้นต่ำ (Exit Point) ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย 3.การชดเชยนี้จะยึดตามดัชนีน้ำฝนที่วัดโดย RESTEC โดยไม่มีการประเมินความเสียหายจริงของพืชที่เอาประกันภัย ผศ.ชญณา กล่าวอีกว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซมโปะ ประกันภัย ได้พัฒนากรมธรรม์ประกันภัยที่นำข้อมูลน้ำฝนจากระบบดาวเทียมมาใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นโครงการประกันภัยสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวตั้งแต่ปี 2553 และประกันภัยสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกลำไยตั้งแต่ปี 2562 ดังนั้น ซมโปะ จึงมีประสบการณ์ และสามารถรวบรวบองค์ความรู้ รวมถึงการใช้ความเชี่ยวชาญระดับโลกจาก AgriSompo ในการรับประกันพืชผลทางการเกษตร และบริหารจัดการความเสี่ยง “เรามุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็งให้สังคมไทย ผ่านการช่วยเหลือเกษตรกรจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งหรือน้ำท่วม ซมโปะ ประกันภัยจึงนำประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ผนวกกับเทคโนโลยี รวมถึงข้อมูลดัชนีน้ำฝนจากศูนย์เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกลจากญี่ปุ่น (RESTEC) มาปรับใช้และพัฒนากรมธรรม์ประกันภัยแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย โดยมีพื้นที่เป้าหมายนำร่องในการรับประกันภัยครั้งนี้ คือ ชาวไร่อ้อยจังหวัดชัยภูมิที่ซื้อปุ๋ยจาก Productivity Plus และในอนาคตจะขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ อันเป็นการสนับสนุนการพัฒนาภาคการเกษตรซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดของไทยตามสโลแกน “ดูแลคนไทยด้วยหัวใจญี่ปุ่น”