บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือCPN ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ประกาศลงนามข้อตกลงเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นสามัญบริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “SF” จากบริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ “MAJOR” ในสัดส่วนร้อยละ 30.36 ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ในราคาซื้อขายหุ้นละ 12 บาท คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 7.7 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในสิ้นเดือนส.ค.64 และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมดของ SF ภายหลังจากเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้นจาก MAJOR เสร็จสิ้น โดยข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยขยายพอร์ตศูนย์การค้าขนาดใหญ่ Super Regional Mall ของบริษัท เพิ่มขึ้นเป็น 2 แห่งคือ เซ็นทรัล เวสต์เกต และเมกาบางนา และเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรระดับโลกอย่างอิเกีย พร้อมผนึกธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล เดินหน้าขยายธุรกิจ คอมมูนิตี้ มอลล์ต่างๆ และพัฒนาโครงการที่ดินบนทำเล CBD ของกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPNเปิดเผยว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญของเซ็นทรัลพัฒนา ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวตรงตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยทางบริษัทมีความยินดีที่ลงนามข้อตกลงกับ MAJOR ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของเซ็นทรัลพัฒนามายาวนาน และเชื่อว่า เป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นของเซ็นทรัลพัฒนา, SF และ MAJOR ทั้งหมด โดยเซ็นทรัลพัฒนาเล็งเห็นศักยภาพในธุรกิจของ SF ซึ่งจะช่วยขยายพอร์ตโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่ระดับ Super Regional Mall ของบริษัท เพิ่มขึ้นเป็น 2 แห่งคือ เซ็นทรัล เวสต์เกต และเมกาบางนา ซึ่งทั้งสองแห่งถือเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังต่อยอดการลงทุนร่วมกับอิเกีย ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกของโลก ต่อไปในอนาคตได้ นอกจากนี้ ยังสามารถเติมเต็ม พอร์ต คอมมูนีตี้ มอลล์ และที่ดินรอการพัฒนา ในทำเลศักยภาพสูงทั้ง CBD ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ในจังหวัดต่างๆด้วยการผนึกธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อสร้างศูนย์กลางการใช้ชีวิต (Center of Life)ที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น สร้างความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจและสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีต่อไปในอนาคต ทั้งนี้เมื่อพิจารณาโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่แข็งแกร่ง สามารถบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและอยู่ในกรอบนโยบายสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หรือ Net D/E ที่ต่ำกว่า 1 เท่า ภายหลังจากการลงทุนครั้งนี้ได้ โดยเซ็นทรัลพัฒนายังเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบมิกซ์ยูสต่อไป และศึกษาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ เพื่อประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ภายใต้เป้าหมายองค์กรในการ “มุ่งมั่นสร้างสรรค์สิ่งที่ดี เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน นายวิชา พูลวรลักษณ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเข้าทำรายการดังกล่าวเป็นการสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อธุรกิจของบริษัทและผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เสริมความแข็งแกร่งเพื่อสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจในอนาคตเพื่อต่อยอดความเป็นผู้นำธุรกิจโรงภาพยนตร์และศูนย์รวมความบันเทิงของลูกค้าทุกคนต่อไป และเป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ได้พันธมิตรทางธุรกิจอย่างเซ็นทรัลพัฒนา ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน SF ในครั้งนี้ สำหรับเซ็นทรัลพัฒนา เป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการศูนย์การค้า 34แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร(อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15โครงการ,ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง โครงการที่พักอาศัยอีก 18 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL PAHOL 34 และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN พิษณุโลก (ทาวน์โฮม) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ได้แก่ นีรติ เชียงราย และนีรติ บางนา โดยโครงการดังกล่าวได้รวมส่วนที่อยู่ภายใต้บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND ที่เซ็นทรัลพัฒนา เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ และเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีสินทรัพย์ที่ดำเนินการแล้ว และสินทรัพย์ที่รอการพัฒนาอยู่บนทำเลศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ อีกทั้งมีโครงการระดับโลกที่ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ขณะที่ บมจ.สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ ประกอบธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการศูนย์การค้า โดยมีโครงการที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมดจำนวน 18 โครงการ ประกอบด้วยศูนย์การค้าชุมชน ศูนย์ไลฟ์สไตล์ ศูนย์รวมสินค้าเฉพาะอย่าง ร้านค้าปลีก ศูนย์บันเทิง และการลงทุนในโครงการเมกาบางนา ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ในกรุงเทพและปริมณฑลฯ ด้วยพื้นที่เช่าเพื่อการค้าปลีกรวมกันกว่า 4 แสนตารางเมตร ส่วน บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เป็นผู้ให้บริการธุรกิจศูนย์รวมความบันเทิง และเป็นผู้นำธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยมากว่า 35 ปี โดยปัจจุบันมีโรงภาพยนตร์ในศูนย์การค้า ไลฟ์สไตล์มอลล์ และแบบ Standalone กว่า 800 โรงทั่วประเทศ รวมถึงประกอบธุรกิจอื่นที่ส่งเสริมต่อธุรกิจหลัก อาทิ ธุรกิจโบว์ลิ่ง คาราโอเกะ และลานสเก็ตน้ำแข็ง ธุรกิจสื่อโฆษณา ธุรกิจพื้นที่เช่าและบริการ และธุรกิจสื่อภาพยนตร์ เป็นต้น