เมื่อวันที่ 4 ก.ค.นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การบริหารจัดการวัคซีนของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ ผอ.ศบค. ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น แม้แต่การแก้ไขปัญหาในขณะนี้ก็ยังผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะช่วงแรกรัฐบาลกำหนดให้วัคซีนแอสตร้าเซเนก้าเป็นวัคซีนหลักเพียงเจ้าเดียว จึงไม่มีวัคซีนคุณภาพมาเพียงพอเร่งฉีดให้ประชาชน จนวันนี้จึงปรับแผนใช้วัคซีนแก้ขัดอย่างซิโนแวคที่ประชาชนไม่ไว้ใจ มาเป็นวัคซีนหลัก และยังเตรียมจะซื้อเพิ่มอีก 28 ล้านโดส ส่วนวัคซีนที่ประชาชนเรียกร้อง อย่างโมเดอร์นา กลับถูกปิดกั้นดำเนินการล่าช้า ทั้งที่มีงานวิจัยหลายฉบับรองรับว่ารับมือกับโควิด-19 สายพันธุ์ที่มีแนวโน้มระบาดอยู่ได้มากกว่า กลับกลายเป็น “วัคซีนทางเลือก” ที่ประชาชนต้องเสียเงินจ่ายด้วยตนเอง ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า ทันทีที่ประชาชนกดโอนเงินมัดจำค่าวัคซีนทางเลือก วินาทีนั้นเท่ากับว่าพลเอกประยุทธ์ กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 47 ที่ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ ผอ.ศบค.ต้องใช้วิธีการทางการทูตไม่ว่าจะเป็นการทูตแบบทางการหรือไม่เป็นทางการ รวมทั้งใช้ศักยภาพของภาคเอกชนที่ติดต่อธุรกิจกับต่างชาติให้เข้ามาช่วยจัดหาวัคซีนยี่ห้ออื่นๆให้เร็วขึ้นได้ อย่าจมอยู่กับวาทกรรมวัคซีนที่ดีคือวัคซีนที่มี ในเมื่อของที่มีอาจจะไม่เพียงพอต่อการควบคุมการระบาด
"การบริหารวัคซีนภายใต้รัฐบาลชุดนี้ มีความพยายามผูกขาดวัคซีน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าจำนวนมากที่ได้ฉีดเพียงซิโนแวค 2 เข็ม เหมือนต้องสู้รบด้วยชุดเกราะกระดาษ ศบค.ต้องพิจารณาฉีดวัคซีนคุณภาพเข็มที่ 3 ให้แพทย์เป็นการฉุกเฉิน ก่อนที่สาธารณสุขไทยจะพังทะลายเหมือนปราสาททรายครับ” นายชนินทร์กล่าว