แม้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเคยพูดหลายครั้ง ถึงการกลับประเทศ แต่ที่สุดเขาก็ยังกลับไม่ได้เสียที หลังจากที่เคยกลับมา กราบแผ่นดินเมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ครั้งแรก หลังจากที่ถูกรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยได้เข้ามอบตัว ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก โดย ศาลอนุมัติให้ประกันตัว แต่ที่สุด ทักษิณ ขออนุญาตศาลฎีกาฯ เดินทางออกนอกประเทศ เมื่อ 31 กรกฎาคม – 10 สิงหาคม 2551 ไปจีนและญี่ปุ่น แต่ที่สุดทักษิณ ก็ไม่ได้กลับมา และ ไม่ได้กลับมา ประเทศไทยอีกเลย จากวันนั้น สู่วันนี้ 14 ปีแล้ว แต่จู่ๆ ทักษิณ ได้ประกาศผ่าน Care Clubhouse ที่เขาร่วมวงสนทนา ทุกคืนวันอังคารว่า จะกลับประเทศไทยแน่ แต่เมื่อไหร่ แล้วจะค่อยบอก แม้ครั้งนี้จะถูกมองว่าเป็น แค่ความฝันความหวัง และเป็นการทำปฏิบัติการจิตวิทยา กับ ฝ่ายตรงข้าม ก็ตาม แต่จังหวะ ห้วงเวลา การพูด “กลับแน่” ของทักษิณ ครั้งนี้ กำลังถูกจับตามองว่า มีนัยสำคัญ เพราะเป็นการพูดหลังจากที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พี่ใหญ่ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เปิดประตู การจับมือระหว่างพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย หลังจากที่ พรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐเห็นพ้อง ที่จะแก้รัฐธรรมนูญให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบที่จะทำให้ทั้ง 2 พรรคใหญ่ได้เปรียบในการเลือกตั้ง ในเรื่องของการนับคะแนน โดยพล.อ.ประวิตร ปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่ว่าในอนาคต พรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย จะร่วมรัฐบาลกันได้หรือไม่ ว่าไม่รู้เพราะเป็นเรื่องในอนาคต ยังไม่ได้คิดอะไร ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่า พล.อ.ประวิตร ควรจะตอบว่าเป็นไปไม่ได้ หรือไม่มีทางเพราะ เป็นพรรค ที่อยู่กันคนละขั้ว แต่กลับใช้สไตล์การตอบว่าไม่รู้แทน ด้วยเพราะตอนนี้ พล.อ.ประวิตรเป็นนักการเมืองไปแล้ว ในทางการเมืองรู้กันดีว่าไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร เพราะต้องไม่ลืมว่า พล.อ.ประวิตรก็มีสายสัมพันธ์ กับฝั่งพรรคเพื่อไทยและคนรอบตัวของ ทักษิณ โดยเฉพาะกับบ้านจันทร์ส่องหล้า “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ดามาพงศ์ ที่พล.อ.ประวิตร ให้ความเคารพมายาวนาน และช่วยดูแลอยู่ เพราะถึงอย่างไร คุณหญิงพจมาน ก็เป็นคนสำคัญ ที่เจรจาทำให้ ทักษิณ เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ยอมให้พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก จึงไม่แปลกที่คุณหญิงพจมาน และลูกๆยังคงอยู่รอดปลอดภัย ที่สำคัญเป็นห่วงจังหวะที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่เคยอยู่พรรคเพื่อไทย ขึ้นมาเป็น เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งรู้กันดีว่ามีสายสัมพันธ์กับแกนนำพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่า ผู้กองธรรมนัสจะดูดส.ส.จากพรรคเพื่อไทย เข้ามาอยู่พรรคพลังประชารัฐ ได้เกินกว่าครึ่ง เพื่อทำให้พรรคพลังประชารัฐได้จำนวนส.ส.เข้าสภา มาเป็นอันดับ 1 และ เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล หลังการเลือกตั้งในสมัยหน้า อีกทั้งสายสัมพันธ์ ของผู้กองธรรมนัส กับ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแกนนำอีกหลายคนที่มีการพูดคุยทางการเมืองกันอยู่เป็นระยะ ที่สำคัญมีการตั้งข้อสังเกตถึงท่าทีของทักษิณ ที่มีต่อ ผู้กองธรรมนัส จากการตอบคำถามในคลับเฮาส์ ในฐานะที่ผู้กองธรรมนัส เคยอยู่พรรคเพื่อไทยมาและเป็นรุ่นน้องเตรียมทหาร 25 ทักษิณซึ่งเป็นศิษย์เก่าเตรียมทหารรุ่น 10 แต่ถูกถอดยศ พันตำรวจโท และเรียกคืนรางวัลเกียรติยศจักรดาวมาจากโรงเรียนเตรียมทหาร หลังการรัฐประหารที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีในปี 2557 ทักษิณยอมรับว่ากับผู้กองธรรมนัสนั้น รู้จักกัน เป็นรุ่นน้องโรงเรียนเตรียมทหาร แต่ก็ไม่เคยทำงานร่วมกัน นอกจากตอนที่ทราบว่าเขามาอยู่กับพรรคเพื่อไทยช่วงหนึ่ง ก็ได้พูดคุยกันบ้างในฐานะรุ่นน้อง “ที่ผ่านมาเห็นเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นทางการเมือง อยากจะเติบโตทางการเมือง ซึ่งก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลของท่าน ตอนที่ ท่านออกไปอยู่พลังประชารัฐ ก็ได้ทราบว่าท่านออกไป และวันนี้ก็ได้เป็นเลขาธิการพรรคแล้ว ก็เป็นเรื่องภายในของพรรคเขา เราจะไปวิจารณ์เขาไม่ได้ พรรคการเมืองต่างคนต่างมียุทธศาสตร์ของตัวเอง พรรคพลังประชารัฐอาจจะมองว่าท่านธรรมนัสเป็น “คนใจถึง” แล้วก็คิดว่าเลือกตั้งงวดหน้าคงต้องใช้เงินใช้ทอง ซึ่งจริงๆ แล้วการเลือกตั้งเมื่อไรที่ต้องใช้เงินใช้ทองมากมาย มันไม่เป็นประโยชน์กับประเทศทั้งนั้น ตอนนี้บางพรรคก็เร่งหาเงินหาทองเตรียมใช้เงินใช้ทองเต็มที่เหมือนกัน ซึ่งมันเป็นเรื่องไม่ดีกับประเทศทั้งหมด อยากจะบอกน้องว่า อย่าไปทำแบบนั้น เราสร้างนโยบายดีๆ เราไปสัญญากับประชาชน แล้วต้องทำให้ได้ แล้วประชาชนก็จะสนับสนุนเราเอง และคุณธรรมนัส เองก็ต้องคิดว่า วันนี้เมื่อมีเสียงวิจารณ์ก็ต้องฟัง แล้วก็ปรับปรุงตัวไป เพื่อจะเป็นนักการเมืองที่ดี มีอนาคตที่ดี” ทักษิณกล่าว คำพูดของทักษิณ ที่มีต่อผู้กองธรรมนัส มีนัยสำคัญ เพราะแทนที่ ทักษิณ จะโจมตีผู้กองธรรมนัส ที่ย้ายพรรค และกำลังพยายามดูด ส.ส. จากพรรคเพื่อไทย แต่ทักษิณ ก็แค่เตือนสติน้องว่า อย่าใช้เงินในทางการเมือง เพราะไม่เป็นผลดีต่อประเทศ แต่ภาพรวมคำพูดล้วนให้เกียรติผู้กองธรรมนัส เช่นเรียกว่า ท่าน และคุณ และมองว่าเป็นคนใจถึง โดยให้คำแนะนำให้ฟังเสียงประชาชนและมาปรับปรุงตัวเอง และมองว่าเป็นคนที่มีอนาคตที่ดี สอดคล้องกับการที่ ผู้กองธรรมนัส ถูกจับตามองถึงอนาคตทางการเมืองของเขาที่จะนั่งเป็น มท.1 ในอนาคต หลังจากพี่น้อง 3 ป. ถอยออกจากการเมืองแล้วเปิดทางให้ ร้อยเอกธรรมนัส ดูแลพลังประชารัฐ ต่อไป และทำหน้าที่เป็นผู้จัดการรัฐบาลในการดีลกับพรรคการเมืองต่างๆและในพรรคพลังประชารัฐเอง ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่า ผู้กองธรรมนัส เคยมีแผนที่จะเข้าเทกโอเวอร์ พรรคเพื่อไทย แต่อาจไม่สำเร็จ เพราะยังมีส.ส.จำนวนไม่น้อย ที่ไม่ยอมสยบต่อฝ่ายทหาร ซึ่งผู้กองธรรมนัส ก็ถูกมองว่าเป็นมือขวาของ พล.อ.ประวิตร จึงต้องเปลี่ยนแผนมาเป็นการดูดส.ส.ให้ย้ายพรรคไปอยู่พรรคพลังประชารัฐแทน แต่ในอนาคตอันใกล้ หากมีการปรับคณะรัฐมนตรี ก่อนที่จะมีการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ในปี 2565 ผู้กองธรรมนัส จะขยับไปนั่ง รมช. มหาดไทย ช่วยงาน “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ส่วนตัวมีความสนิทสนมกันมายาวนาน เพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง และอุ่นเครื่องสำหรับการจะเป็น มท.1 ในอนาคตเมื่อ พล.อ.อนุพงษ์ วางมือเท่านั้น เพราะกระแสข่าว ที่ออกมาตอนนี้ว่า ผู้กองธรรมนัส อยากที่จะนั่งเก้าอี้มท.1 นั้นเป็นแค่กระแสเสี้ยมให้ พล.อ.อนุพงษ์ไม่พอใจ และต้องไม่ลืมด้วยว่า พล.อ.อนุพงษ์ ก็คือเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 ของทักษิณ ที่แม้ว่าจะเป็นแกนนำในการรัฐประหารล้ม ทักษิณเมื่อ 19 กันยายน 2549 โดยตอนนั้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แต่พล.อ.อนุพงษ์ก็ไม่เคยลืมบุญคุณที่ทักษิณสนับสนุนตัวเองให้เติบโตมาในกองทัพจนได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และทักษิณ ก็ถือว่าเป็นคนที่ทำให้เกิดแผงอำนาจ 3 ป.เพราะเป็นคนตั้งพล.อ.ประวิตร เป็นผู้บัญชาการทหารบกและ ตั้งพล.อ.อนุพงษ์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 และทำให้ทั้ง 2 ป. คุมอำนาจ และ ได้ผลักดันให้พล.อ.ประยุทธ์ ได้เติบโตจนที่สุดขึ้น เป็นผู้บัญชาการทหารบก นั่นเอง จึงเรียกได้ว่า ทักษิณกับ 2ป.ยังคงมีเยื่อใยต่อกัน แต่สถานการณ์ของประเทศและการเมืองทำให้ต้อง ยืนอยู่คนละข้าง แต่ไม่ว่าสายสัมพันธ์ดั้งเดิมและในปัจจุบันระหว่างทักษิณกับผู้นำทางทหารโดยเฉพาะ3 ป.จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่การที่จะได้กลับประเทศหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝ่ายการเมือง อย่างเดียว เพราะท้ายที่สุดต้องรอดู “สัญญาณ” ด้วยเท่านั้น