วันที่ 30 มิ.ย.64 ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี กองบัญชาการตำรวจนครบาล ให้การช่วยเหลือติดตามตัว นายศราวุธ ผาลา หรือแท็กซี่ อายุ 27 ปี ผู้พิการทางสมอง ที่หายตัวพลัดหลงจากบ้านไปนานกว่า 1 เดือน หลังพบว่าถูกแก๊งนายหน้าหางานที่สถานีขนส่งหัวลําโพงหลอกไปทำงานเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง ก่อนที่ตำรวจจะเข้าให้การช่วยเหลือได้สำเร็จ
นางแอนนี่ มิตรอุดม อายุ 49 ปี มารดาของนายศราวุธ ผู้พิการทางสติปัญญา อายุ 27 ปี ไปติดต่อรับตัวลูกชาย หลังจากที่ตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี หรือ ตำรวจ ดส. ร่วมกับมูลนิธิกระจกเงา ไปตามหาและช่วยเหลือออกมาได้ หลังพบว่าก่อนหน้านี้ถูกหลอกพาไปบังคับใช้แรงงานเลี้ยงเป็ดในฟาร์มเกษตร พื้นที่จังหวัดนนทบุรี
มารดาของนายศราวุธ เปิดเผยว่า ลูกชายของตนมีความผิดปกติทางสมองมีความคิดที่ช้าและสมาธิสั้น หายออกจากบ้านบริเวณซอยกาญจนาภิเษก 25 เขตสะพานสูง กรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา จากนั้นอีก 2 วัน จึงได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ สน.บางชัน และกระจายข่าวให้กับกลุ่มญาติช่วยกันตามหาตัว ซึ่งก็พบเบาะแสว่าลูกชายเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ จนมาพบว่าเบาะแสสุดท้ายอยู่ที่ย่านหัวลำโพง โดยมีคนเร่ร่อนในละแวกดังกล่าวเก็บซิมโทรศัพท์มือถือของลูกชายได้ และยังพบว่าลูกชายเคยไปขออาหารจากมูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็กเร่ร่อน เมื่อช่วงประมาณปลายเดือนพฤษภาคม ส่วนคนสุดท้ายที่พบว่าลูกชายไปอยู่ด้วยก็เป็นคนเร่ร่อนอีกคนที่ทำอาชีพหาคนไปทำงาน รู้เพียงว่าพาไปทำงานเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งที่จังหวัดร้อยเอ็ด แต่ไม่ทราบว่าที่ใด จนกระทั่งเมื่อคืน ที่ได้รับการประสานจากตำรวจกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี หรือ ตำรวจ ดส. ว่าสามารถติดตามตัวลูกชายได้แล้วทำให้ตนเองรู้สึกดีใจมาก ที่ได้ลูกชายกลับคืนมาเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาที่ลูกชายหายตัวไป 47 วัน ตนเองกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะรู้สึกเป็นห่วงลูกชายเป็นอย่างมาก
ขณะที่นายศราวุธ ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนเองได้ออกจากบ้านเพราะต้องการไปเที่ยวที่หัวลำโพง แต่เมื่อไปถึงถูกขโมยกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือ ประกอบกับตนเองจำเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านไม่ได้ จึงต้องอาศัยหลับนอนและขอข้าวกินอยู่ที่หัวลำโพง ประมาณ 10 วัน ต่อมามีนายหน้ามาชักชวนให้ไปทำงานเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง โดยเสนอให้ค่าจ้างจำนวน 5,000 บาท และได้นำรถมารับไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี ก่อนจะส่งตัวต่อไปเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งที่จังหวัดร้อยเอ็ด จากนั้นได้ถูกส่งตัวมาทำงานเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่งในจังหวัดนครปฐม สุดท้ายจึงตัดสินใจหลบหนีออกมาจนพบกับตำรวจ ทั้งนี้ยังเล่าด้วยว่า ตลอดเวลาที่ทำงานตนได้รับค่าจ้างเพียงแค่ 500 บาท และยังต้องทำงานตลอดทั้งวันไม่ได้หลับได้นอน และคิดถึงพ่อกับแม่เป็นอย่างมาก
นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหายมูลนิธิกระจกเงา เปิดเผยว่า หลังได้รับการร้องเรียน จึงเข้าขอความช่วยเหลือกับตำรวจ ดส. ให้ช่วยติดตามตัว เนื่องจากที่ผ่านมาจะมีคนลักษณะที่มีปัญหาสมองและจิตเวชที่หายออกจากบ้าน และถูกหลอกจากนายหน้าพาไปทำงานใช้แรงงานอยู่บ่อยครั้ง จึงอยากฝากเตือนผู้ปกครองและครอบครัวที่ดูแลผู้ที่มีอาการป่วยยังกล่าว เป็นพิเศษเพื่อจะได้ไม่เป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพอีกต่อไป
ด้านพันตำรวจโทชาคร เปรมฤดีเลิศ สารวัตร ดส. เปิดเผยว่า พันตำรวจเอกภิญโญ ป้อมสถิตย์ ผู้กำกับการ ดส. ได้สั่งการให้ตนกับฝ่ายสืบสวนช่วยติดตามผู้เสียหาย จึงออกติดตามหาตามเบาะแสต่างๆ ที่ผู้เสียหายถูกหลอกพาตัวไปทำงาน กระทั่งพบว่าผู้เสียหายได้หลบหนีจากพื้นที่ย่านบางเลน ย้อนกลับไปที่หัวลำโพง จึงไปตรวจสอบและให้การช่วยเหลือกลับมาพบกับครอบครัวได้สำเร็จ สำหรับแก๊งนายหน้าที่หลอกพาผู้เสียหายไปนั้น จะเร่งขยายผลจับตัวมาดำเนินคดี เบื้องต้นพบว่าแก๊งดังกล่าวมักจะใช้จิตวิทยาพูดจาหว่านล้อมหลอกล่อให้เป้าหมาย โดยเฉพาะกับผู้ที่มีปัญหาทางสมองและจิตเวชไปทำงาน เนื่องจากคนกลุ่มนี้สามารถโน้มน้าวจิตใจได้ง่าย อีกทั้งการก่อเหตุก็จะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปตามสถานีขนส่งต่างๆ จึงฝากประชาสัมพันธ์หากผู้ใดพบเห็นพฤติกรรมของแก๊งที่หลอกลวงให้แจ้งเบาะแสมายังกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือและเข้าจับกุมกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป