เรียบเรียงโดย ดร.อัครเดช สุภัคกุล
วันที่ 1 กรกฎาคม 2021 ( 2564 )เป็นโอกาสครบรอบ 100ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน และโอกาสเดียวกันนี้ ยังเป็นวันครบรอบ 46ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ไทยจีน อย่างเป็นทางการ
สถาบันผู้นำไทยจีนในโลกยุคใหม่ จึงได้จัดปาฐกถาพิเศษออนไลน์ในหัวข้อ “100ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ46ปีความสัมพันธ์ไทยจีน” โดยเชิญ ฯพณฯ กร ทัพพะรังสี นายกสมาคมมิตรภาพไทยจีน อดีตรองนายกรัฐมนตรี มาเป็นผู้ปาฐกถา ณ โรงแรมเดอะทราเวลเลอร์ ถนนรัชดาภิเษก เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน 2021 (2564)ที่ผ่านมา
ในห้วงเวลา 46ปี ฯพณฯ กร ยังได้เดินทางไปเยือนจีนในมณฑลต่างๆ เป็นจำนวนถึง 155ครั้ง ได้พบผู้นำจีน ตั้งแต่รุ่นที่ 1 ถึงรุ่นที่ 5 กล่าวคือ ท่านประธานเหมา ท่านโจเอินไล ท่านเติ้งเสี่ยวผิง ท่านเจียงเจ๋อหมิน ท่านหูจิ่นเทา ตลอดจนถึงท่านสีจิ้นผิง ในยุคปัจจุบัน
ฯพณฯ กร ทัพพะรังสี จึงนับเป็นบุคคลสำคัญต่อ ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยจีน ที่ทรงคุณค่าอย่างหาได้ยากยิ่ง ทางสถาบันฯ จึงกราบเรียนเชิญ ฯพณฯ กร มาปาฐกถาในโอกาสสำคัญดังกล่าว
100 ปีความสัมพันธ์ไทยจีน
ฯพณฯ กร ทัพพะรังสี เริ่มต้นปาฐกถาโดยการกล่าวถึง การสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นเมื่อปีค.ศ.1921 (2464) หรือเมื่อ100 ปีที่แล้วว่า
ในช่วงต้นภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์ชิงนั้น จีนมีกลุ่มการเมือง 2 ฝ่ายด้วยกันกล่าวคือ
ฝ่ายที่ 1 คือ ฝ่ายพรรคก๊กมินตั๋ง ที่เป็นตัวแทนของ นักวิชาการ นักธุรกิจ และกองทัพ ภายใต้การนำของ ดร.ซุนยัตเซน (ซุนจงซาน) ได้ตั้งระบอบสาธารณรัฐจีน (Republic of China) ขึ้นมาปกครองประเทศ
ฝ่ายที่ 2 คือ พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นตัวแทนของชนชั้นกรรมาชีพ และเกษตรกร โดยมีค้อน กับเคียว เป็นสัญลักษณ์ ภายใต้การนำของท่านประธานเหมาเจ๋อตุง ที่นำปรัชญาแนวคิดลัทธิคอมมิวนิสต์ คาร์ล มาร์กซ์และเลนิน จากรัสเซีย มาใช้ในการปกครอง
ครั้นจักรวรรดิ์ญี่ปุ่นรุกรานจีน ทั้ง 2ฝ่าย จึงหันมาผนึกกำลังกันสู้รบขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากจีนจนประสบผลสำเร็จ แต่หลังจากนั้นอีก 4 ปี ทั้ง 2 ฝ่ายก็หันกลับมารบกันใหม่อีก จนมีนายทหารอาวุโสท่านหนึ่งกล่าวว่า “จีนต้องมารบกันเองอีกหรือนี่?”
ท่านประธานเหมาเจ๋อตุง จึงไปพบท่านเจียงไคเช็ค ผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งที่คุมอำนาจทุกอย่างในจีนเวลานั้น โดยได้เจรจาว่า ยินดีให้ท่านเจียงไคเช็คดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ปกครองประเทศ ให้พรรคก๊กมินตั๋งของท่านดูแลทางฝ่ายนักธุรกิจ แล้วพรรคคอมมิวนิสต์จะดูแลชนชั้นกรรมาชีพ และชาวนาเอง
แต่คณะกรรมการพรรคก๊กมินตั๋งไม่เห็นด้วย จึงใช้เวลาสู้รบกันเองนานถึง 4ปี จนกระทั่งฝ่ายต่างๆ ที่เคยสนับสนุนพรรคก๊กมินตั๋ง หันมาสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพราะต่อสู้เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง มิได้ต่อสู้เพื่อชนชั้นนายทุน ทำให้พรรคก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้ไปในที่สุด จนท่านเจียงไคเช๊คต้องหนีไปอยู่ที่เกาะไต้หวัน
ในวันที่ 1 ตุลาคม 1949 (2492) พรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้การนำของท่านประธานเหมาเจ๋อตุง จึงเข้ามาปกครองประเทศ และได้เปลี่ยนชื่อประเทศจาก สาธารณรัฐจีน (Republic of China) เป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China) สร้างสันติภาพและความเป็นเอกภาพให้กับประเทศจีน จนกระทั่งท่านประธานเหมาเจ๋อตุง ถึงแก่อสัญกรรมในปีค.ศ.1976 (2519)
จีนได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติเมื่อปีค.ศ.1971 (2513) ก่อนที่ท่านเติ้งเสี่ยวผิงจะเข้ามามีอำนาจในการปกครองประเทศจีนในปีค.ศ.1978 (2521) ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ (Turning Point) ในประวัติศาสตร์จีน กล่าวคือ ในสมัยท่านประธานเหมาเจ๋อตุง เป็นห้วงเวลาที่จีนลุกขึ้นมามีเอกภาพจากสงครามกลางเมือง ที่จีนรบกันเอง และรบกับจักรวรรดิญี่ปุ่นที่เข้ามารุกราน พอถึงสมัยท่านเติ้งเสี่ยวผิงท่านมีนโยบายว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ต้องทำให้คนจีนพ้นจากความยากจนปีละ 20 ล้านคน
ท่านเติ้งเสี่ยวผิงบริหารประเทศ 10ปี คนจนหมดไปจากประเทศจีน 200ล้านคน ท่านเจียงเจ๋อหมินเข้ามาบริหารประเทศต่ออีก 10ปี คนจนหมดไปจากประเทศจีนอีก 200ล้านคน และมาก้าวกระโดดในสมัยท่านหูจิ่นเทาบริหารประเทศอีก 10ปี ประเทศจีนทำการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้อย่างมากมาย การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน มี GDP 14-15% ต่อเนื่องทุกปี ทำให้คนจนหมดไปจากประเทศจีนอีก 300ล้านคน เหลือคนจนในประเทศจีนเพียง 100ล้านคน พอถึงปีค.ศ.2019 ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนบริหารประเทศมาครบ 70ปี ภายใต้การนำของท่านสีจิ้นผิง การกำจัดความยากจน (Poverty Eradication) ที่ได้ดำเนินการมามาตั้งแต่ ปี 1978 ( 2521) ได้ประสบความสำเร็จ และคนจนหมดไปจากประเทศจีนโดยสิ้นเชิงในปี ค.ศ. 2020 (2563)
จากข้อสังเกต และศึกษาของ ฯพณฯ กร ทัพพะรังสี ท่านได้ข้อสรุปว่า 100ปีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ได้บริหารประเทศมาจนถึงวันนี้ 72 ปี มีเหตุผล 3 ประการที่ทำให้คนจนหมดไปจากประเทศจีน กล่าวคือ
1.ความมีเสถียรภาพ รัฐบาลมีความมั่นคง สามารถบริหารนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจนได้อย่างต่อเนื่อง
2.ความมีเอกภาพ ทุกกระทรวงมีแนวนโยบายในการขจัดความยากจนให้หมดไปจากประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียวกัน
3.ปราบคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นมหันตภัยร้ายแรงที่บ่อนทำลายความเจริญของประเทศชาติ รัฐบาลต้องจริงจังในเรื่องนี้
ดังที่กล่าวนำไปตอนต้นว่า จุดเปลี่ยนของประเทศจีนเกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ.1978 (2521) ที่ท่านเติ้งเสี่ยวผิงได้เข้ามาบริหารประเทศ ท่านได้ประกาศนโยบาย “ไป่ฮั้วฉีฟ้าง” (ดอกไม้บานทั้งแผ่นดิน) ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ แต่เปิดเสรีทางธุรกิจ ด้วย 3กลยุทธิ์ดังนี้
1.จากที่รัฐเป็นเจ้าของธุรกิจเปลี่ยนเป็นให้เอกชนเป็นเจ้าของธุรกิจ
2.เริ่มแรกที่จีนยังไม่มีทุน เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุน
3.จีนเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธัญญาหาร และทรัพยากรธรรมชาติ อนุญาตให้นำเข้าเทคโนโลยีเพื่อทำผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออกนำรายได้เข้าสู่ประเทศ
จีนมี 34 มณฑล แต่นโยบายไป่ฮั้วฉีฟ้าง ดอกไม้บานทั้งแผ่นดินของท่านเติ้งเสี่ยวผิง เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ดอกไม้เริ่มผลิบานไปทีละเมือง เริ่มต้นที่เสินเจิ้น ต่อมาที่เซี่ยงไฮ้ กวางโจว ต้าเหลียน เป็นลำดับจนกระทั่งดอกไม้ผลิบานทั้งแผ่นดิน ทำให้คนจนหมดไปจากแผ่นดินจีน เมื่อจีนมีความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ จากนโยบายไป่ฮั้วฉีฟ้างในยุคท่านเติ้งเสี่ยวผิง จึงนำมาสู่นโยบายร่วมมือกับต่างประเทศเพื่อให้ประชาชนในประเทศต่างๆพ้นความยากจนเช่นเดียวกับจีน นั่นคือ “นโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” อีไต้อีลู่ (One Belt One Road) ที่เชื่อมเส้นทางสายไหมเช่นในสมัยราชวงศ์หมิงในอดีตอันรุ่งโรจน์ของจีน โดย ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในยุคปัจจุบัน
46 ปีความสัมพันธ์ไทยจีน
เมื่อประเทศไทยมีภัยคุกคามจากพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ที่บุกยึดลาว เขมรไปก่อนหน้านั้น รัฐบาลไทยในสมัยนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงมอบหมายให้ พลตรีชาติชาย ชุณหวัณ (ยศในขณะนั้น) รัฐมนตรีต่างประเทศ เดินทางไปหาหนทางเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับจีน โดยมี ฯพณฯ กร ทัพพะรังสี เดินทางติดตามไปด้วยในฐานะ เลขานุการรัฐมนตรีต่างประเทศ หลังจากนั้นพณฯ กร ได้เดินทางไปเยือนจีนอีก 155ครั้ง ประเทศจีนจึงยกย่องให้ท่านเป็นเพื่อนเก่าของประเทศจีน (เหล่าเผิงหยิ่ว)
พณฯ กร กล่าวว่า หลังจากจีนจัดให้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ไทยจีนอย่างเป็นทางการตรงกับวันที่ 1 กรกฎาคม อันเป็นวันเดียวกับวันสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีนแล้ว จีนยังปรารถนาที่จะให้มีการติดต่อกันอีกช่องทางหนึ่ง คือ ระหว่าง " ประชาชนต่อประชาชน" นั่นคือจุดเริ่มต้นของการจัดตั้ง "สมาคมมิตรภาพจีนไทย" ขึ้นที่กรุงปักกิ่ง และ "สมาคมมิตรภาพไทยจีน" ขึ้นที่กรุงเทพ เพื่อให้เกิดความสะดวกสำหรับประชาชนต่อประชาชน ที่จะติดต่อกันในด้าน เศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม กีฬา โดยที่ตลอดมานี้ ประเทศจีนให้เกียรติกับประเทศไทยว่า “ไทยจีนเป็นพี่น้องกัน” (จงไท้อี้เจียชิง) ตลอดมา และไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่จีนสถาปานาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการตรงกับวันสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย คือ 1 กรกฎาคม
ฯพณฯ กร กล่าวโดยสรุปว่า จากการที่ท่านได้เฝ้าศึกษาประเทศจีนในทุกมิติมาโดยตลอด มีข้อสังเกตว่า 100ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้ความยากจนหมดไปจากแผ่นดิน เพราะจีนไม่ยึดมั่นกับระบอบการปกครอง แต่ยึดมั่นเป้าหมายมากกว่า กล่าวคือ ไม่ว่าจะปกครองด้วยระบอบใด แต่ขอให้ยึดมั่นเป้าหมายที่จะกำจัดความยากจนให้หมดไปจากแผ่นดินให้ได้ สำคัญที่สุด และเรื่องนี้พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ประสบความสำเร็จให้ทั่วโลกได้เห็นมาแล้ว
ในโอกาส 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์จีน ฯพณฯ กร อวยพรให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน และประเทศจีนและประชาชนจีนมีความเจริญพัฒนาถาวร ตลอดจนความสัมพันธ์ไทยจีนมีความยั่งยืนตลอดไป