เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.64 พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. พ.ต.อ.มนตรรี เทศขัน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ศราวุธ จันต๊ะวงค์ พ.ต.ท.อลงกต คชแก้ว พ.ต.ท.ก่อเกียรติ วุฒิจำนงค์ รอง ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.กก.1 บก.ป. ร.ต.อ.เดชวุฒิ อุตรศาสตร์ ร.ต.อ.มณฑล จันทร์พรม รอง สว.กก.1 บก.ป. ร่วมกันจับกุมน.ส.อคิราห์ หรือ น.ส.จิระพา อายุ 42 ปี ตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ ที่ 649/2563 ลง 20 ส.ค.63 โดยกล่าวหาว่า “พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค” ได้ที่บริเวณริมถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ฝั่งใต้ ต.ลัดหลวง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
ก่อนเกิดเหตุเมื่อปี 2558 ผู้ต้องหาในคดีได้มาติดต่อทำธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์กับผู้เสียหาย โดยได้ร่วมกันดำเนินกิจการเรื่อยมา จนเมื่อประมาณเดือนก.พ. 59 ผู้ต้องหาได้มาติดต่อขอยืมเงินกับผู้เสียหาย โดยอ้างกับผู้เสียหายว่าจะนำเงินไปรักษาแม่และลูกของตนเอง โดยมีการทำสัญญากู้ยืมเงินกันจำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 630,000 บาท ต่อมาเมื่อถึงกำหนดคืนเงิน ผู้ต้องหากลับหลบหนีไปและไม่สามารถติดต่อได้ จึงเป็นเหตุทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย ได้เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดี
ต่อมา ผู้ต้องหาได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล และศาลได้มีคำสั่งให้ประนอมหนี้แก่ผู้เสียหาย แต่ปรากฏว่าผู้ต้องหาไม่ได้ชดใช้หนี้ตามคำสั่งศาล และได้หลบหนีไปอีกครั้ง จึงเป็นเหตุให้ศาลแขวงพระนครเหนือ ออกหมายจับผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้สืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหารายนี้เรื่อยมา
โดยพบว่าผู้ต้องหารายนี้มีพฤติการณ์สร้างเรื่องหลอกลวงเพื่อยืมเงินผู้เสียหายอีกหลายราย แล้วจะออกเช็คเพื่อชำระหนี้ให้ ทั้งที่รู้ว่าเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย โดยจากการตรวจสอบประวัติพบว่ามีประวัติคดีอาญาทั้งสิ้น จำนวน 16 คดี โดยเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ จำนวน 6 คดี และพบว่ายังมีหมายจับที่ต้องการตัว
กระทั่งเจ้าหน้าที่กองปราบปราม ชุดจับกุมสืบทราบว่า ผู้ต้องหารายนี้ได้หลบหนีมาอาศัยอยู่พื้นที่ ต.ลัดหลวง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ จึงลงพื้นที่ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบผู้ต้องหารายนี้ขับขี่รถยนต์อยู่บริเวณดังกล่าว จึงเรียกให้หยุดรถและทำการจับกุม นำตัวส่งศาลแขวงพระนครเหนือ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ก่อนเกิดเหตุเมื่อปี 2558 ผู้ต้องหาในคดีได้มาติดต่อทำธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์กับผู้เสียหาย โดยได้ร่วมกันดำเนินกิจการเรื่อยมา จนเมื่อประมาณเดือนก.พ. 59 ผู้ต้องหาได้มาติดต่อขอยืมเงินกับผู้เสียหาย โดยอ้างกับผู้เสียหายว่าจะนำเงินไปรักษาแม่และลูกของตนเอง โดยมีการทำสัญญากู้ยืมเงินกันจำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 630,000 บาท ต่อมาเมื่อถึงกำหนดคืนเงิน ผู้ต้องหากลับหลบหนีไปและไม่สามารถติดต่อได้ จึงเป็นเหตุทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย ได้เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดี
ต่อมา ผู้ต้องหาได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล และศาลได้มีคำสั่งให้ประนอมหนี้แก่ผู้เสียหาย แต่ปรากฏว่าผู้ต้องหาไม่ได้ชดใช้หนี้ตามคำสั่งศาล และได้หลบหนีไปอีกครั้ง จึงเป็นเหตุให้ศาลแขวงพระนครเหนือ ออกหมายจับผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้สืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหารายนี้เรื่อยมา
โดยพบว่าผู้ต้องหารายนี้มีพฤติการณ์สร้างเรื่องหลอกลวงเพื่อยืมเงินผู้เสียหายอีกหลายราย แล้วจะออกเช็คเพื่อชำระหนี้ให้ ทั้งที่รู้ว่าเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย โดยจากการตรวจสอบประวัติพบว่ามีประวัติคดีอาญาทั้งสิ้น จำนวน 16 คดี โดยเป็นคดีความผิดเกี่ยวกับการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ จำนวน 6 คดี และพบว่ายังมีหมายจับที่ต้องการตัว
กระทั่งเจ้าหน้าที่กองปราบปราม ชุดจับกุมสืบทราบว่า ผู้ต้องหารายนี้ได้หลบหนีมาอาศัยอยู่พื้นที่ ต.ลัดหลวง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ จึงลงพื้นที่ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบผู้ต้องหารายนี้ขับขี่รถยนต์อยู่บริเวณดังกล่าว จึงเรียกให้หยุดรถและทำการจับกุม นำตัวส่งศาลแขวงพระนครเหนือ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป