เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.64 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก มีรายละเอียดดังนี้
"ชวนฝ่ายค้านมองไปข้างหน้า สามัคคีคนโค่นเผด็จการ
รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเครื่องมือการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและพวก ทำลายพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย ผมไม่ยอมรับเหมือนกับที่หลายคนหลายฝ่ายแสดงจุดยืนกันมาโดยตลอด
สิ่งที่ดีที่สุดคือต้องมีสสร.จากประชาชนยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ผ่านการทำประชามติแล้วบังคับใช้
แต่ก็เห็นชัดเจนว่าฝ่ายผู้มีอำนาจต้องการจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นหลักประกันให้ตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไป ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงถูกปฏิเสธหรือถูกตีตกระหว่างทางอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
จนมาถึงวันนี้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังเป็นเรื่องใหญ่ทางการเมือง เกิดวิวาทะระหว่างสองพรรคร่วมฝ่ายค้านสำคัญคือ “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” สิ่งที่ถกเถียงกันมากประเด็นหนึ่งก็คือการเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งจาก “บัตรใบเดียว” เป็น “บัตรสองใบ” แบบรัฐธรรมนูญ 40
ซึ่งเรื่องนี้ “พลังประชารัฐ” เขายื่นเข้าสภาไปแล้ว
“เพื่อไทย”ก็ยื่นเข้าสภาตามไปเมื่อวันก่อน
ส่วน “ก้าวไกล” แสดงความไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ชัดเจน เสนอบัตรสองใบ นับคะแนนจัดสรรปันส่วนผสมแบบเยอรมัน
ทั้งระดับแกนนำและกองเชียร์ของทั้งสองพรรคต่างแสดงความคิดเห็นโต้แย้งกันไปมา เรื่องนี้ถ้าหากไม่หาข้อยุติดี ๆ ทำท่าจะกลายเป็นความขัดแย้งใหญ่ในฝ่ายประชาธิปไตย
ในทัศนะของผม ซึ่งถือเป็นมิตรของทั้งสองฝ่าย “เพื่อไทย” นี่บ้านหลังที่เคยอยู่ “ก้าวไกล” ก็เพื่อนมิตรพี่น้องในฝ่ายประชาธิปไตยที่เคยร่วมต่อสู้ร่วมแนวทางต่าง ๆ มาด้วยกัน ผมเห็นว่าทั้งสองพรรคไม่ควรเปิดฉากวิวาทะกันด้วยเรื่องนี้ และไม่ควรจะปล่อยให้ประเด็นนี้ขยายผลลุกลามใหญ่โตไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะสาระสำคัญที่สุดในการไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือการสืบทอดอำนาจของคสช. และหลายประเด็นเป็นอุปสรรคสำหรับระบอบประชาธิปไตย
เรื่องบัตรเลือกตั้งใบเดียวผมไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น แสดงความคิดเห็นไว้ตั้งหลายรอบ ตั้งแต่เขาร่างกันเสร็จและเข้ากระบวนการทำประชามติ ไม่ต้องพูดซ้ำ!
ตอนเขาทำประชามติ ผมคนหนึ่งล่ะเรียกร้องว่าควรมีบัตรเลือกตั้งสองใบแบบรัฐธรรมนูญปี 40 วันนี้ก็ยังย้ำคำเดิม ไม่กลืนน้ำลาย
แต่วันนี้ผมเห็นว่าบัตรกี่ใบไม่ใช่เรื่องใหญ่ หัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ควรบังคับใช้เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศอีกต่อไป การมีบัตรเลือกตั้งใบเดียวหรือสองใบ ไม่ใช่คำตอบให้พล.อ.ประยุทธ์และพวกพ้นไปจากเวทีอำนาจ!
ขณะที่เมื่อเกิดข้อโต้แย้งของทั้งสองฝ่าย อันนี้ขอพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา พรรคพวกจะไม่พอใจก็น้อมรับว่า “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” โต้แย้งกันเรื่องบัตรสองใบแบบปี 40 กับแบบเยอรมันนั้น มีภาพสะท้อนผลประโยชน์ทางการเมืองของแต่ละฝ่ายปนอยู่ด้วย จะด้วยเจตนาบริสุทธ์เรื่องหลักการประชาธิปไตยอย่างที่ทั้งสองพรรคพูด ผมก็เชื่อนะครับ แต่ปฏิเสธข้อเท็จจริงเรื่องผลทางการเมืองของทั้งสองฝ่ายไม่ได้จริง ๆ
ถ้าเลือกตั้งแบบบัตรสองใบตามรัฐธรรมนูญปี 40 “เพื่อไทย” มีโอกาสกลับมาแข็งแรงขึ้น ได้ส.ส.มากกว่าเดิม
ถ้าเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ นับคะแนนแบบเยอรมัน “ก้าวไกล” ก็มีโอกาสได้ส.ส.มากเท่าเดิมหรือมากกว่า
ทั้งสองฝ่ายมีสิทธิที่จะอธิบายหลักการและจุดยืนของตนให้กับประชาชนได้รับทราบ แต่เมื่อประชาชนเข้าใจก็จะเข้าใจพร้อม ๆ กับภาพสะท้อนที่ผมได้ชี้ให้เห็น
การที่ “เพื่อไทย” จะโหวตเห็นชอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบตรงกับ “พลังประชารัฐ” แล้วจะไปกล่าวหาว่า “เพื่อไทย” สมคบคิดกับเผด็จการไปแล้วเห็นว่าไม่เป็นธรรม ในระหว่างมิตรไม่ควรตั้งข้อกล่าวหากันถึงขั้นเป็นตายขนาดนี้
ในส่วนของ “พรรคเพื่อไทย” ผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องไปตอบโต้ “ก้าวไกล” ให้ยาวความ คำชี้แจงของ “เพื่อไทย” ว่าด้วยความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ 40 ว่าด้วยจุดยืนเดิมที่เรียกร้องมาตลอด กรณีบัตรสองใบเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ “เพื่อไทย” ก็ต้องยอมรับความจริงด้วยว่าการที่พรรคการเมืองอันดับ 1 ของฝ่ายค้านกับพรรคการเมืองอันดับ 1 ของฝ่ายรัฐบาลลงมติเห็นชอบร่วมกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องเข้าใจยากทางการเมือง
เดินไปข้างหน้า “เพื่อไทย” ก็จะเดินไปพร้อมกับคำถามข้อหนึ่งติดตัวตลอดเวลาว่า ทำไม “พลังประชารัฐ” จึงเห็นชอบกับแนวทางเลือกตั้งที่ “เพื่อไทย” มีโอกาสโตขึ้น แข็งแรงขึ้น ขณะที่ “พรรคก้าวไกล” อย่างที่ผมพูดนะครับว่า การเรียกร้องบัตรสองใบแบบเยอรมันมีสิทธิที่จะถูกตั้งข้อสังเกตเช่นกันว่าเพราะแบบนั้น “ก้าวไกล” จะได้มากกว่า
ผมว่าถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องตั้งหลักกันดี ๆ นะครับ การยังคงโต้แย้งกันในประเด็นเหล่านี้จะเปลืองทั้งตัว เปลืองทั้งแรง เปลืองทั้งเวลา สิ่งที่อยากจะเสนอก็คือพรรคฝ่ายค้านในสภาทุกพรรคควรจะตกผลึกทางความคิดแล้วแสดงออกอย่างเป็นเอกภาพ ผลักดันให้กฎหมายประชามติผ่านสภา มีผลบังคับใช้โดยเร็ว ถึงตรงนั้นจะต้องเดินไปพร้อม ๆ กับการหลอมรวมพลังของภาคประชาชนทุกกลุ่มทุกส่วน ชวนกันทำยุทธหัตถีกับอำนาจคสช. โดยการทำประชามติให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มีสสร.จากประชาชนมายกร่างฯ
ผมเชื่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับจะเป็นกระแสสูง จะได้รับการตอบรับจากผู้คนหลากหลาย พรรคฝ่ายค้านมีจุดร่วมสำคัญกันได้ในเรื่องนี้ ความเป็นเอกภาพก็ยังอยู่ ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการใช้หอกทมิฬแทงทมิฬ แทนที่พรรคฝ่ายค้านจะเผชิญหน้ากันเองเรื่องระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียว บัตรสองใบ จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “ประชาธิปัตย์” อย่าง “ภูมิใจไทย” แม้กระทั่ง “ชาติไทยพัฒนา” ต้องแสดงท่าทีและตอบคำถามประชาชนว่าเอาหรือไม่เอาให้มีสสร.มายกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
“ประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย-ชาติไทยพัฒนา” เลือกที่จะยืนกับประชาชน หรือ เลือกที่จะยืนใต้อำนาจของพล.อ.ประยุทธ์และเผด็จการคสช.ต่อไป
ผมไม่ได้มองโลกสวย ผมเข้าใจดีว่าการลงประชามติให้ฝ่ายประชาธิปไตยชนะ เกิดสสร.มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อเผชิญกับอำนาจรัฐ เมื่อเผชิญกับอำนาจทุน เมื่อเผชิญกับกลเกมของฝ่ายผู้มีอำนาจ แต่นี่คือสนามใหญ่ที่ทุกคนทุกส่วนจะสู้ร่วมกันได้
และนี่คือเดิมพันใหญ่ที่ไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองของใครกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ แต่คือผลประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนที่จะเดินหน้าไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ผมคิดว่าลดแรงเสียดทานระหว่างกันตั้งแต่วันนี้ แล้วจับมือกันทำศึกใหญ่ในการทำประชามติดีกว่า!
ในฐานะพรรคใหญ่ต้องพยายามสร้างความสามัคคีรวมหมู่ แสดงบทบาทผู้นำในสภา เดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงให้ได้ “ก้าวไกล” ก็คงไม่ต้องวิตกกังวลอะไรเกินไปมากอะครับ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบ “พลังประชารัฐ” เขาทำให้เห็นชัดอยู่แล้วว่ามีสิทธิที่จะหักลงกลางทางได้ตลอดเวลา
วันที่ 24 มิถุนายน ถ้าผ่านวาระแรกเรื่องการบัตรเลือกตั้งสองใบแบบปี 40 ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเดินได้สุดทางจนมีผลบังคับใช้ ดังนั้นทุกฝ่ายควรถอยมายืนหลักเดิม ไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ สร้างความสามัคคีต่อสู้กันต่อไป
ทำเถอะครับ เริ่มต้นจากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในสภานั่นแหละ แล้วก็มาจับมือกับทุกภาคส่วนที่อยู่ข้างนอก ผมไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร แต่ถ้าจะจับมือกันสู้ประชามติเพื่อให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมเอาด้วย! "