ศึกฟุตบอล ยูโร 2020 ได้ระเบิดเพลงแข้ง เปิดหัวทัวร์นาเม้นเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมาอย่างสนุก หลังจากที่ต้องเลื่อนการแข่งขันมายาวนานถึง 1 ปีเต็ม จากการระบาดใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 และเป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มจำนวนทีมเป็น 24 ทีมด้วยกัน โดยจะแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม ประกอบด้วย - “กลุ่มเอ” อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี เวลส์ - “กลุ่มบี” เบลเยียม รัสเซีย เดนมาร์ก ฟินแลนด์ -“กลุ่มซี” ยูเครน ฮอลแลนด์ ออสเตรีย มาซิโดเนีย - “กลุ่มดี” อังกฤษ โครเอเชีย สาธารณรัฐเช็ก สกอตแลนด์ - “กลุ่มอี” สเปน โปแลนด์ สวีเดน สโลวาเกีย - “กลุ่มเอฟ” เยอรมนี ฝรั่งเศส โปรตุเกส ฮังการี และกลุ่มที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ “กลุ่มเอฟ” ที่รวมสุดยอดทีมอย่าง “ฝรั่งเศส” (แชมป์โลก 2018) “โปรตุเกส” (แชมป์ยูโร 2016) และ “เยอรมนี” (แชมป์โลก 2014) ไว้ด้วยกัน ขณะที่ “ทีมเต็งแชมป์” ประกอบด้วย เต็ง 5 “สเปน” อดีตทีมแชมป์ 3 สมัย ในปี 1964 และเป็นทีมเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้าแชมป์และรักษาแชมป์ไว้ได้ในปี 2008 และ 2012 ส่วนผลงานครั้งล่าสุดคือตกรอบ 16 ทีม แพ้อิตาลี 0-2 เต็ง 4 “เยอรมัน” อดีตทีมแชมป์ 3 สมัยในปี 1972, 1980 และล่าสุด 1996 เต็ง 3 “เบลเยียม” ที่มีนักเตะชั้นนำไปทั่วทุกลีก โดยเฉพาะ "เควิน เดอบรอยน์" สุดยอดกองกลางระดับโลก จากทีม “เรือใบสีฟ้า” แมนฯซิตี เต็ง 2 “อังกฤษ” แม้จะไม่เคยเป็นแชมป์ แต่ทุกครั้งที่ทีมจากเกาะอังกฤษ ได้ลงแข่งขัน มักจะถูกคาดหวังจากกองเชียร์ ให้เป็นทีมวางที่จะคว้าแชมป์อยู่เสมอ ขณะที่ เต็ง 1 “ฝรั่งเศส” ชื่อนี้ถือเป็นขาประจำที่หลายทีมต้องเกรงขาม นับตั้งแต่ในยุคของ "ซิเนดีน ซีดานที่สร้างความยิ่งใหญ่ ด้วยการเป็นแชมป์โลกสมัยแรกในปี 1998 นับจากนั้นมาในสองทศวรรษนี้เป็นของ "ตราไก่" ฝรั่งเศส ที่ทุกทีมต้องยอมรับ ซึ่งในการแข่งขันฟุตบอลโลกและศึกยูโร นับจากปี 1998 “ฝรั่งเศส” เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ 5 ครั้ง และคว้าแชมป์ได้ถึง 3 ครั้ง จากแชมป์โลก 2 สมัยและแชมป์ยูโรอีก 1 สมัย เชื่อได้เลยว่า ทีมที่แฟนบอลทั่วโลกจับตามากที่สุด และเชียร์ให้คว้าแชมป์รายการนี้มากที่สุด คงหนีไม่พ้น “สิงโตคำราม” แม้จะไม่เคยเป็นแชมป์ แต่ผลงาน ที่ผ่านมาคืออันดับสามในปี 1968 โดยในปีล่าสุดตกรอบ 16 ทีม ด้วยการพ่ายพลิกให้ไอซ์แลนด์ 1-2 แต่ด้วยความพร้อมในปีนี้ ลูกทีมของ "แกเรธ เซาต์เกธ" ผู้จัดการทีม ที่มีอดีตเคยพลาดจุดโทษรอบรองชนะเลิศในยูโร 96 จัดระบบเรียกฟอร์มของทีม จนทำให้อังกฤษกลายเป็นหนึ่งในเต็งแชมป์ยูโร 2020 โดยขุนพลส่วนใหญ่ อยู่ใน “วัยคะนอง” อายุไม่ถึง 30 ปีเกือบจะทั้งทีม ไม่ว่าจะเป็นกัปตันทีมอย่าง “แฮร์รี เคน” สุดยอดดาวยิงจาก “ไก่เดือยทอง” สเปอร์ส ที่ทำผลงาน 12 ประตูในรอบคัดเลือก นับว่าเป็นตัวทีเด็ดและหัวใจของทีมชาติที่ทีมจะขาดไม่ได้ นอกเหนือจาก "แฮร์รี เคน" แล้ว ทีมอังกฤษ ยังมีผู้เล่นน่าจับตามองคือ "จาดอน ซานโช" ดาวเตะอนาคตไกลจาก "โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์" ในศึกบุนเดสลีก้า เยอรมัน จึงไม่น่าแปลกหาก “อังกฤษ” จะทะลุชิงและคว้าแชมป์เหมือนครั้งแรก และครั้งเดียวในการคว้าแชมป์โลก “แชมป์ยุโรป” จะตกเป็นของใคร เป็นเรื่องน่าสนใจ และคงไม่นานเกินรอ ที่แฟนๆ กองเชียร์จะได้รู้กันว่า “แชมป์” ในปีนี้จะเป็นทีมไหน แต่เชื่อได้ว่า “สนุกแน่ๆ”