วันที่ 16 มิถุนายน นายชาตรี จันทร์วีระชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดทำหนังสือขี้แจงข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร้องเรียนการใช้งบพัฒนาจังหวัดมากกว่า 50 ล้านบาท ปรับปรงภูมิทัศน์บนเขา รอบเขาช่องกระจกและด้านหน้าศาลากลางจังหวัด ดำเนินการโดยสำนักงานโยธาธิการจังหวัด และทราบว่าต่อมามีการถ่ายโอนโครงการให้เทศบาลเมืองประจวบฯ แต่พบว่าปัจจุบันอาคารสิ่งปลูกสร้างและสวนสาธารณะถูกปล่อยทิ้งร้างไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบ
“จังหวัดได้ตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับสิทธิการครอบครองที่ดินบริเวณเขาช่องกระจก เดิมมีหลายหน่วยงานของรัฐที่ใช้งบเข้าไปพัฒนาเข้าใจว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดธรรมิการาม และก่อนหน้านี้ได้หารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษ พิจาณาแล้วเห็นว่าพื้นที่บนยอดเขาช่องกระจกที่มีศานสนสถาน จึงถือเป็นธรณีสงฆ์อยู่ในการครอบครองของวัดธรรมิการาม แต่กรรมการกฤษฎีกายังไม่ได้ชี้ชัดว่าบริเวณรอบภูเขา หรือหน้าศาลากลางงจังหวัดมีหน่วยงานใดเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้นหน่วยงานที่ใช้งบประมาณทำโครงการ แต่ไม่มีหน่วยงานอื่นรับมอบไปดูแลก็ต้องรับผิดชอบ หาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป “ นายชาตรี กล่าว
มีรายงานว่า ที่ผ่านมาประชาชนและนักท่องเที่ยว ร้องเรียนปัญหาการใช้ประมาณจากงบพัฒนาจังหวัดปรับปรุงภูมิทัศน์รอบเขาช่องกระจกแหล่งท่้องเที่ยวชื่อดัง บริเวณสวนสาธารณะหน้าศาลากลางจังหวัด แต่ไม่มีงบประมาณบำรุงรักษาและซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพเสื่อมโทรม โดยเฉพาะโคมไฟรูปสับปะรดในสวนสาธารณะหน้าศาลากลางหลังใหม่ ไม่สามารถใช้การได้ทั้งหมดและบางส่วนสูญหาย ไม่มีหน่วยราชการใดจัดงบซ่อมแซมหรือจัดซื้อเพื่อเปลี่ยนใหม่ เนื่องจากติดขัดปัญหาพื้นที่รอบเขาช่องกระจกยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบเป็นเจ้าของพื้นที่ นอกจากนั้นพบว่าโคมไฟรูปสับปะรดที่ติดตั้งรืมถนนเสียบชายหาด รอบอ่าวประจวบฯความยาวหลายกิโลเมตรมีปัญหาสร้างแล้วชำรุด แต่ไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบ
ขณะที่ปฏิมากรรมน้ำพุวาฬบลูด้าขนาดใหญ่ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าอนุสาวรีย์ซีฟู้ด น้ำตกลิงกระโจน เสาไฟไฮแมส ทั้งหมดไม่สามารถใช้การได้นานกว่า 5 ปี ส่วนการใช้งบล่าสุด 16.9 ล้านบาทโดยโยธาธิการจังหวัดออกแบบเพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์รองบเขาช่องกระจก ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดเปิดใช้อาคารจำหน่ายอาหารลิง รวมทั้งบ่อน้ำสำหรับลิงถูกปล่อยทิ้งร้าง /////