หลวงพี่น้ำฝน เช็กละเอียดก่อนช่วยเหลือป้าต๋อยขายไต เค้นปมดราม่า ติดพนันกู้นอกระบบหนัก โดยมีผู้นำชุมชนมาคอยชี้แจงว่าไม่มีเรื่องเหล่านี้ จากนั้นเข้าไฟแนนซ์ปิดหนี้รถ เข้าออมสินปิดยอดเงินกู้ เรียกเจ้าหนี้นอกระบบมารับชำระหนี้ ด้วยตัวเองป้องกันเงินรั่วไหล โดยให้สาบานจะไม่สร้างหนี้อีก โดยป้าต๋อยหลังหมดหนี้ก้มกราบหลวงพี่น้ำฝน หน้าธนาคารออมสิน ด้วยน้ำตา วันนี้ 14 มิ.ย. 64 พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม พร้อมศิษย์และเจ้าหน้าวัด ได้เดินทางไปพบนางธนพร เกิดแป๋ อายุ 64 ปี หรือป้าต๋อย ที่ประกาศขายไต ที่บ้านพักในซอยชุมชนวัดใหม่ปิ่นเกลียว ตำบลนครปฐม อำเภอเมืองนครปฐม เพื่อมาสอบถามข้อมูลเบื้องต้นและมาปลดหนี้สินให้ตามที่ได้รับปากไว้ในวันอายุวัฒนมงคล อายุครบ 49 ปีหรือวันเกิดซึ่งจัดที่วัดไผ่ล้อมและได้เป็นสะพานบุญเชิญชวนศิษย์ในการร่วมใส่บาตรสำหรับนำมาปลดหนี้ให้ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยเมื่อหลวงพี่น้ำฝน เดินทางไปถึงได้มีการเข้าพูดคุยกับ นางธรพร หรือป้าต๋อย และลูกสะใภ้ ที่ได้เข้ากราบขอบคุณและให้ข้อมูลหลายเรื่องที่เริ่มเกิดประเด็นดราม่า ซึ่งแบ่งความคิดออกเป็นสองฝ่ายโดยมีทั้งเห็นใจสงสารอีกส่วนก็มีประเด็นในเรื่องการปูดข้อมูลว่า ป้าต๋อยเป็นนักพนักตัวยและชอบแจ้งจับกลุ่มคนที่ปล่อยเงินนอกระบบหลังจากกู้แล้วไม่ชดใช้เงินที่ได้กู้ไป ซึ่งหลวงพี่น้ำฝนได้สอบถามข้อมูลทุกอย่างโดยละเอียดพร้อมกับเชิญผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่เข้ามาร่วมให้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าวหลังตกเป็นที่สงสัยในช่วงข้ามคืนที่ปรากฏเป็นข่าว และเมื่อสอบถามข้อมูลจนเป็นที่เข้าใจจึงได้วางแนวทางในการช่วยปลดหนี้ให้ครอบครัวป้าต๋อย จุดแรกหลวงพี่น้ำฝน ได้ให้ลูกศิษย์คนสนิทโทรไปสอบถามกับเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้นอกระบบให้ โดยมียอดจำนวน 10,000 บาท ซึ่งทางเจ้าหนี้ได้บอกว่ามีหนี้สินกับป้าต๋อยจริง โดยจะขอเข้ามารับเงินกับทางศิษย์ของหลวงพี่น้ำฝน ในวันถัดไป จากนั้นได้เดินทางไปยัง สำนักงานย่อย เมืองไทย แคปปิตอล สาขาอำเภอเมืองนครปฐม โดยได้ปิดยอดรถจักรยานยนต์ ที่ได้มาเข้าไฟแนนซ์ไว้ 21,867 บาท และได้ไปที่ ธนาคารออมสิน สาขาอำเภอเมืองนครปฐม ซึ่งได้ปิดหนี้ของนางวัชรินทร์ ศรีคล้ายลูกสะใภ้ จำนวน 7,889.77 บาท ซึ่งได้ครบตามจำนวนที่ได้ประกาศว่าจะปลดหนี้ ซึ่งเมื่อทราบว่าหนี้สินได้ถูกปลอดลงหมดแล้ว นางธนพรและนางวัชริทร์ ได้ก้มกราบหลวงพี่น้ำฝนทั้งน้ำตา ซึ่งได้ให้สัญญาว่าจะนับจากนี้จะไม่สร้างหนี้สินที่เพิ่มเติมอีก จากการสอบถามนายบรรจง ภู่แก้ว สมาชิกสภาเทศบาลเมืองนครปฐม บอกว่ารู้จักกับครอบครัวนี้มานานโดยเป็นครอบครัวที่ยากจนจริงโดยทั้ง 7 คนที่อยู่บ้านหลังนี้ยังถือว่าน้อยเพราะเขายังมีญาติอีกหลายคนแต่อยู่รวมกันที่นี่ไม่หมดจึงได้อยู่ที่นี่ ก่อนหน้าที่มีประเด็นจะออกมาประกาศขายไต ตนเองก็ได้เคยช่วยเหลือเงินไปบ้างเหมือนกันกับเพื่อนบ้านที่วนเวียนมาช่วยเหลือคนละเล็กละน้อย ซึ่งต้องยอมรับว่าชุมชนตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนจนหลายครอบครัว ซึ่งที่อาศัยก็เป็นที่ของวัดใหม่ปิ่นเกลียว โดยครอบครัวนี้ก็ไม่ได้จ่ายเงินค่าเช่ารายปีเพราะไม่มีเงิน แต่ทุกคนขยันทำงานคือหากินกันวันต่อวัน แต่เมื่อเขาทำโต๊ะจีนแล้วไม่สามารถออกงานได้ก็หมดเงิน นี่เป็นเรื่องจริงว่าเขาลำบาก สท.บรรจง บอกต่อว่า สำหรับเรื่องที่มีคนมาพูดกันต่อปากต่อคำว่านางธนพร นั้นติดพนันโต๊ะบอล หรือการพนันอื่นๆ รวมถึงเรื่องยาเสพติดในบ้านนี้ไม่มี เพราะตนเองรู้จักมานานแต่ก็มีด้านเสียเหมือนกับคนจนอื่นๆ ทั่วไป บางทีก็มีความไม่น่ารักบ้างเพราะเป็นพื้นคนที่ไม่ได้เรียนมาสูง และยังเคยมีประวัติกู้เงินนอกระบบบ่อยๆ คือกู้เจ้านั้นมาโปะให้เจ้านี้ วนไปมาจนพอกเป็นหนี้เยอะ และมักถูกคนให้กู้มาวนเวียนมาด่าทอก็มีเถียงกันเสียงดัง หรือบางทีมีคนเล่นไพ่กัน ก็มีจะการแจ้งให้มาจับคนถูกแจ้งก็คิดว่าเป็นป้าต๋อย ก็จะมีการโกรธเคืองกันในระแวกใกล้เคียงซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าป้าต๋อยแจ้งตำรวจหรือเปล่า เขาถึงได้โกรธแค้นกัน “สุดท้ายผมก็ว่าเขาจนจริงๆ ทางนายกเทศบาลเมืองนครปฐมก็ได้เคยสอบถามเรื่องนี้ผมก็ได้บอกตามความจริงทั้งหมดว่ามีทั้งเรื่องไม่น่ารักบ้าง แต่เรื่องน่าสงสารและต้องช่วยเหลือมีมากกว่าเพราะเขาคิดจะฆ่าตัวตายหลังครั้งตั้งแต่โควิด-19 ระบาดมาตั้งแต่ระรอกแรก ถ้าเราไม่ช่วยเขาวันนี้ป้าต๋อย อาจจะตายไปแล้วเพราะแกจ้องจะกระโดดหอน้ำหลายครั้งแล้ว ที่สำคัญเมื่อหลายปีก่อนที่แกเคยไปกู้เงินนอกระบบ ก็ยังเคยถูกพวกปล่อยเงินกู้ เผาประตูบ้านหลังนี้เพื่อข่มขู่แกมาแล้ว” สท.บรรจง กล่าว ด้านพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม กล่าวว่าวันนี้ก็มาตามสัญญา ซึ่งอาตมาก็คิดว่าการช่วยเขาก็เพราะเป็นวันเกิดอายุ 49 ปี โดยมีศิษย์มาแจ้งเรื่องนี้ก็รับปากมาช่วย แต่ดูแล้วก็ไม่ได้ลำบากมากกว่าครอบครัวอื่นๆ ที่เคยช่วยเหลือมา แต่ก็คิดว่าการได้ช่วย 1 คนเท่ากับช่วย 7 ชีวิต และคณะศิษย์ก็บอกว่าจะมาร่วมบุญก็จึงได้มาและวันนี้ได้ก็ได้มาสรุปยอดหนี้ เป็นเงินราว 3 หมื่นเศษ แต่อาตมามาไม่ได้ให้เขาจับเงิน ขอมาเคลียร์ให้เองทั้งหมด เพราะเคยมีประสบการณ์ มาขอให้ช่วยแต่ก็เอาเงินไปใช้อย่างอื่นไม่ได้ไปใช้หนี้สิน สิ่งที่อาตมาได้มาดูก็ได้ทราบข้อมูลหลายเรื่องซึ่งได้ให้สาบานว่าจะไม่กลับไปสร้างหนี้เงินที่มีคนบริจาคมาให้ส่วนหนึ่งก็ได้เป็นทุนรอนไว้สำหรับทำมาหากิน ซึ่งต้องขยันและต่อสู้ต่อไป และจังหวะนี้คือจังหวะที่ดีที่อาตมาก็อยากจะทำบุญก็พร้อมสนับสนุนให้ได้ลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง ซึ่งการจะช่วยแบบนี้ทุกครั้งก็เป็นไปไม่ได้เพราะพระก็ยังได้รับผลกระทบกับโควิด-19 เพียงแต่วัดไผ่ล้อมไม่ได้เคยไปขอความช่วยเหลือใครและปรับตัวเองตามสภาพ ซึ่งพระก็ลำบากถึงได้เข้าใจ แต่วัดก็ยังเป็นที่พึ่งต่อไปหากโยมต๋อยไม่มีข้าวหรือลำบากทถ้าอาตมาหรือวัดไผ่ล้อมช่วยได้ก็ยินดีที่จะให้วัดเป็นศูนย์กลางของการปลดทุกข์ให้กับชาวบ้าน