"ทนายษิทรา" นำ "ลุงพล-ป้าแต๋น" โร่ร้อง "กมธ.การกฎหมายฯ" จี้สอบ "ผบ.ตร." ไม่รับมอบตัว-ฟ้องเท็จออกหมายจับ ทั้งที่ไร้พฤติการณ์หลบหนี ด้าน "สิระ" ยันไม่ยุ่งคดี วอน "แม่น้องชมพู่" อย่าให้ใครมาปิดช่องทางช่วยเหลือ ขออย่าโยงการเมือง กลบข่าว "พ.ร.ก.กู้เงิน" เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2564 ที่โถงกลางอาคารัฐสภา นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ พร้อมด้วยนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตน้องชมพู่ และนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น อายุ 42 ปี เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนกับนายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร โดยนายสิระ กล่าวว่า ตนและกมธ.กฎหมายฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือจากนายไชย์พล วันนี้เขามายื่นหนังสือเพราะติดใจศาลในการพิจารณาออกหมายจับ ยืนยันว่าจะไม่เกี่ยวกับเรื่องในสำนวนคดี ส่วนประเด็นที่พุ่งเป้าและเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงจะเกี่ยวข้องกับรูปคดีหรือไม่นั้น สิ่งใดที่อยู่ในอำนาจเราจะดำเนินการ ซึ่งไม่ใช่ว่าจะรับเรื่องร้องเรียนในกรณีของนายไชย์พล แต่ประชาชนทั่วไปก็สามารถร้องเรียนมาได้ เบื้องต้นเรายังไม่รับเรื่องไว้พิจารณา ซึ่งจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมกมธ.กฎหมายฯ ภายในสัปดาห์หน้า แต่ขึ้นอยู่กับว่าที่ประชุมกมธ.กฎหมายฯ จะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่ ขอย้ำว่าการดำเนินการต่างๆ จะไม่ก้าวล่วงพยานหลักฐาน และสำนวนคดีต่างๆ ซึ่งจะดูเพียงแค่ตำรวจไม่อำนวยความยุติธรรมไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากบรรจุวาระเรื่องดังกล่าวนี้ จึงค่อยมาถามว่าจะเอาใครมาชี้แจงเข้าให้ข้อมูลนี้ “ตนจับพฤติกรรมของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะที่ลงพื้นที่บ้านกกกอก ว่า เคยประกาศว่า จะจับผู้ร้ายให้ได้ภายใน 1 ปี และก็ประจวบเหมาะพอดีว่าการออกหมายจับครั้งนี้ครบ 1 ปีพอดี จึงตั้งข้อสังเกตวันนี้เป็นความบังเอิญ หรือมีการกดดันเจ้าหน้าที่หรือไม่ โดยในวันเสาร์ที่ 12 มิถุนายนนี้ ตนเองและกรรมาธิการจะลงพื้นที่ไปยังบ้านกกกอก เพื่อพบกับแม่ของน้องชมพู่และเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อสอบถามว่าถูกกดดันในการทำคดีหรือไม่ พร้อมฝากถึงแม่น้องชมพู่ว่า อย่าให้ใครคนใดคนหนึ่งมาปิดช่องทางและโอกาสจะได้รับความช่วยเหลือด้านความยุติธรรม แต่มีคนมาเบรกว่าอย่าไป ซึ่งนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ระบุว่า ต้องขออนุญาตก่อน ผมตกใจว่า นายอัจฉริยะเป็นใคร ตนไม่ได้รู้จัก ไม่ได้ติดใจ แต่ผมต้องไปพบแม่นายชมพู่ เพราะรับปากนายไชย์พล และแม่น้องชมพู่ว่า จะเข้ามาดูแลความยุติธรรม ซึ่งการมาปิดกั้นแบบนี้ ขอให้พิจารณาตัวเองด้วย และให้สังคมช่วยพิจารณาว่าเป็นอย่างไร เพราะเราต้องการลงไปทำงาน ยืนยันว่าการยื่นเรื่องร้องเรียนในวันนี้ ไม่เกี่ยวกับกลบข่าวกรณีพิจารณาพ.ร.ก.กู้เงิน หรือเรื่องการเมือง ขออย่าเอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะวันนี้ประชาชนมาความยุติธรรม ซึ่งเราทำหน้าที่ของกมธ.กฎหมายฯ” นายสิระ ด้านนายษิทรา กล่าวว่า เรามายื่นเรื่องร้องเรียนวันนี้ เกิดจากเราไม่ได้รับความเป็นธรรม ในเรื่องการดำเนินคดีของนายไชย์พล จากตำรวจ จึงต้องมาร้องเรียนประธานกมธ.กฎหมายฯ เพื่อตรวจสอบพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในประเด็นที่ร้องเรียน คือ การออกหมายจับนายไชย์พล ยืนยันว่า ไม่มีพฤติกรรมหลบหนี แต่เจ้าพนักงานไปทำคำร้องออกหมายจับ อ้างเหตุว่ามีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ทำให้ศาลหลงเชื่อ และมีการออกหมายจับ หลังจากมีการออกหมายจับเราได้ไปมอบตัว แต่ผบ.ตร. ซึ่งเป็นหัวหน้าเจ้าพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ กลับไม่ยอมรับมอบตัวและทำบันทึกการจับกุม เพื่อให้นายไชย์พล ได้รับความอับอาย ซึ่งมีผลต่อการคัดค้านการประตัวในชั้นศาล และในส่วนของมารดาของน้องชมพู่ ได้บอกกับเราในศาลว่า ที่ทำคำร้องทั้งหมดเพราะตำรวจแนะนำ ทำให้เห็นว่าเรื่องดังกล่าว ตำรวจไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับนายไชย์พล และเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้นายไชย์พล แลเป็นผู้ร้าย และต้องใช้กำลังตำรวจเข้ากัมจุมและล็อคกุญแจมือ ทั้งที่เราเข้ามอบตัวแล้ว วันนี้จึงต้องเข้ามาขอความเป็นธรรม เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผบ.ตร.และเจ้าพนักงานสอบสวน รวมถึงคนที่เข้าให้การในชั้นศาล “การที่ศาลขอออกหมายจับต้องอยู่ที่ดุลพินิจศาลพิจารณา แต่กรณีที่ของเรา การที่การออกมาจับโดยยื่นคำร้องเป็นเท็จให้ศาลหลงเชื่อว่า นายไชย์พล มีพฤติกรรมหลบหนี ซึ่งความเป็นจริงนั้น ไม่มี และศาลไม่รู้ว่าตำรวจยื่นคำร้องเป็นจริงหรือไม่ จึงต้องขอให้มีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวนี้” นายษิทรา กล่าว เมื่อถามว่า กรณีที่ผู้เสียหายตั้งนายวินัย ชุมสวัสดิ์ เป็นทนายเพื่อต่อสู้คดีนั้น นายษิทรา กล่าวว่า ในฐานะทนาย ตนดีใจที่ผู้เสียหายมีทนายมารักษาสิทธิ์ให้ ซึ่งเป็นสิทธิ์ของแม่น้ำชมพู่ แม้ว่าตนเองเจะอยู่ฝ่ายนายไชย์พล ก็ไม่ขัดข้อง ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่า ตั้งทีมทนายเพื่อเป็นไม้เบื่อไม้เมานั้น นายษิทรา กล่าวว่า ตนไม่คุ้นชื่อนี้ ซึ่งเขาอาจจะเก่งมีความรู้ความสามารถ แต่ตนไม่รู้จักเท่านั้นเอง ยืนยันว่าการเลื่อนว่านัดหมายในวันนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแถลงข่าวเปิดตัวทนายของแม่น้องชมพู่แต่อย่างใด เมื่อถามว่า กรณีที่นายวินัย เป็นทีมทนายของนายอัจฉริยะ มีความกังวลหรือไม่ นายษิทรา กล่าวว่า ตนไม่ได้กังวลใจ เพราะนายอัจฉริยะฟ้องตนมาแล่วร่วม 10 คดี แต่ไม่คดีไหนเลยที่ชนะ เพราะไม่ยกฟ้องหรือถอนฟ้องไปเอง ดังนั้น การที่เขาออกจะให้สัมภาษณ์ว่าเจตนาหลายคดี ต้องเล่าให้หมดด้วยว่า ไม่ได้ชนะตน เมื่อถามว่าต่อว่า ยื่นเรื่องกมธ.กฎหมายฯ ทราบดีว่าวันนี้มีประชุมพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทจะเป็นการแย่งพื้นที่ข่าวหรือไม่นั้น นายษิทรา กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่ามีการประชุมพ.ร.ก.กู้เงิน ซึ่งได้ทราบหลังจากนัดหมายนายสิระแล้ว และถามด้วยว่าจะเปลี่ยนวันหรือไม่ แต่เนื่องด้วยนายไชย์พล เดินมาแล้ว และสะดวกในวันนี้ ด้านนายไชย์พล กล่าวว่า ขอบคุณกมธ.กฎหมายฯ ที่ได้รับเรื่อง ตนอยากให้กมธ.กฎหมายฯทำงานรอบคอบตรงไปตรงมา เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ทุกคนได้รับความยุติธรรม ยืนยันว่า พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เชื่อว่าประชาชนคนไทยทุกคนต้องการความยุติธรรมและความเสมอภาค ส่วนที่ประชาชนมองว่าเราเป็นคนร้ายไปแล้วนั้น การดูสื่อ ต้องทำอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ ตนได้อ่านคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย แต่เลือกที่จะอ่านผ่านๆ เพราะทุกคนสามาถแสดงความเห็นได้ แต่ขอให้ยืนอยู่บนความถูกต้อง ในช่วงท้าย นายสิระให้นายไชย์พล สัญญากับประชาชนว่า หากมีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลหรือจะยกฟ้องหรือตัดสินว่ามีความผิด จะต้องยอมรับในดุลยพินิจของศาล แต่ขอให้มีการแสดงพยานหลักฐานหักล้างอย่างเต็มที่ ด้านนายไชย์พล กล่าวยืนยันว่า “จะเคารพการตัดสินของศาล และไม่มีทางที่จะหนีไปไหน” ทั้งนี้ หลังจากยื่นหนังสือเสร็จ ป้าแต๋นได้นำผ้าทอมือของจังหวัดมุกดาหาร ยื่นให้นายไชย์พลนำผ้าดังกล่าวผูกเอวนายสิระ โดยระบุว่าเป็นของที่ระลึกมามอบให้กับนายสิระ ซึ่งก็ได้บอกว่าไม่เกิน 3,000 บาทมอบให้ได้ เช่นเดียวกับนายสิระที่พูดติดตลกว่า ของชิ้นนี้ไม่เกิน 3,000 บาทใช่หรือไม่ อย่างไรก็ตาม นายษิทราและนายไชย์พล เดินทางมาล่าช้ากว่ากำหนด 3 ชั่วโมง เนื่องจากตามกำหนดการเดิม ในเวลา 10.00 น. แต่ภายหลังได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รับประทานอาหารพี่จังหวัดสมุทรสาคร ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงเดินทางมายังรัฐสภา โดยทางทนายความชี้แจงว่า ได้ติดต่อมาเลื่อนนัดกับนายสิระแล้ว โดยมีโดยมีตำรวจรัฐสภา ขับรถกอล์ฟจากหน้าอาคารรัฐสภามาส่งยังบริเวณสถานที่แถลงข่าว