"เพื่อไทย" จี้ "บิ๊กตู่" ยกเลิกวัคซีนทางเลือก พร้อมเปิดทางให้วัคซีนทุกตัวที่ "WHO" ประกาศรับรองเป็นวัคซีนหลักของประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำเข้าถึงวัคซีน เตรียมจับตา 6 มิ.ย.แอสตราฯ เข้าไทยจริงหรือไม่ เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 31 พ.ค. ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการนโยบายด้านสาธารณสุขของพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข้อเรียกร้องไปยังศบค. โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ได้รวมอำนาจกฎหมาย 31 ฉบับมาบริหารจัดการเอง ว่า สิ่งที่ทางคณะกรรมการนโยบายฯ เราได้เล็งเห็นถึงสิ่งที่ประชาชนให้ความสนใจเรื่องวัคซีนทางเลือก ซึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้น่าสนใจก็ด้วยเหตุที่ว่าก็คือราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ประกาศให้อำนาจตนเองในการจัดหาวัคซีน ซึ่งทำให้ประชาชนมีความหวังจากการรอวัคซีนจากรัฐบาลที่มีท่าทีว่าจะมาตามนัดหรือไม่และล่าสุดก็ได้ประกาศยกเลิกการจองในแอปพลิเคชั่นหมอพร้อมและให้ไปลงทะเบียนจองตามแต่ละจังหวัดและนั่นก็ยิ่งเป็นเหตุให้ประชาชนสนใจเข้าไปจองวัคซีนทางเลือกของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ทางพรรคเพื่อไทยเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าศบค.และรัฐบาลไม่ปรับแก้หรือไม่เปลี่ยนแปลงแนวทางในการบริหารวัคซีนจะทำให้เกิดปัญหากับประเทศ ดังนั้นเราจึงเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผอ.ศบค.ได้ยกเลิกคำว่าวัคซีนทางเลือกและประกาศให้วัคซีนที่มีคุณภาพที่ดี มีประสิทธิภาพสูงทุกตัวที่ทางองค์การอนามัยโลกได้ขึ้นทะเบียนว่าเป็นวัคซีนที่ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินและทางอย.ได้ขึ้นทะเบียนให้นำมาใช้ในประเทศได้ให้เป็นวัคซีนหลักของประเทศ โดยเหตุที่เรียกร้องเช่นนี้เพราะวัคซีนเป็นยาจำเป็นที่จะใช้ปกป้องและขจัดโรคติดต่อออันตรายให้กับประชาชนได้ ดังนั้นวัคซีนทุกตัวที่มีย่อมมีสิทธิ์ที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาจำเป็นหรือยาหลัก อย่างไรก็ตามการที่เราเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศให้มีวัคซีนหลัก และมีความหลากหลายตามองค์การอนามัยโลกได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัคซีนที่ใช้ในภาวะฉุกเฉิน เช่น โมเดอร์นา ไฟเซอร์ จอหน์สัน แอนด์จอหน์สัน แอสตราเซเนก้า นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ถ้าวัคซีนทุกตัวเป็นวัคซีนทางเลือกและศบค.เองได้อนุญาตให้ภาครัฐและเอกชนสามารถจัดหาวัคซีนมาให้บริการได้ ทุกส่วนก็จะได้ร่วมการจัดหาวัคซีนต้องชื่นชมราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ที่ออกประกาศและมีผลให้หน่วยงานภาครัฐที่ไม่ใช่องค์การเภสัชกรรมสามารถจัดหาวัคซีนได้เดิมทีรัฐอาศัยคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินว่าการจัดหาวัคซีนเป็นหน้าที่ของรัฐบาลเท่านั้นโดยอ้างว่าอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นจึงเรียกร้องศบค.ให้ปลดล็อกคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินเพราะคำวินิจฉัยนั้นเน้นแค่ในระยะแรก เพราะหากเรายังมีคำว่าวัคซีนทางเลือก จะเกิดสิ่งที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ในเรื่องสิทธิของประชาชนในมาตรา 47 วรรคสาม “บุคคลย่อมมีสิทธิ์ได้รับการป้องกัน ขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” แต่รัฐบาลเองได้ประกาศหลีกเลี่ยงและประกาศวัคซีนหลักเพียงตัวใดตัวหนึ่ง จึงทำให้วัคซีนตัวอื่นที่เหลือนั้นตีตราว่าเป็นวัคซีนทางเลือก ผู้ที่ให้บริการหากนำมาให้บริการก็สามารถเก็บค่าใช้จ่ายเองถือเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนและรัฐเองก็ปฏิบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญ “การมีวัคซีนทางเลือกนอกจากไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้วยังตามมาด้วยความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงวัคซีนและเกิดปัญหาบานปลาย ทำให้ประชาชนลุกฮือประท้วงหรือสร้างความวุ่นวายซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ฝากถึงพล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถหาวัคซีนให้กับประชาชน ความสามารถนั้นจะกลับมาย้อนใส่ตัวท่านเอง คือท่านไม่มีวัคซีนคุ้มกันทางการเมือง” นพ.ชลน่าน กล่าว นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า ต้องรีบประกาศวัคซีนหลัก โดยเฉพาะวัคซีนที่ได้รับการประกาศจากองค์การอนามัยโลกและได้รับการรับรองจากอย.ของเรา วัคซีนทุกตัวเป็นวัคซีนหลักแต่ยกเว้นวัคซีนที่มีคุณภาพต่ำ มีความปลอดภัยที่ยังมีความคลุมเครือ องค์การอนามัยโลกมีเอกสารชัดเจนว่าวัคซีนบางตัวคือซิโนแวคมีความน่าเชื่อถือที่ต่ำสำหรับความปลอดภัยและอีกตัวที่ไทยมีคือแอสตราเซเนก้าที่บอกว่าจะเข้ามาในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ 6 ล้านโดสพร้อมฉีดในวันที่ 7 มิ.ย.ก็ฝากให้ติดตามว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะเท่าที่รู้สหภาพยุโรป (อียู) ฟ้องบริษัทแอสตราเซเนก้า พีแอลซี ที่ไม่สามารถส่งมอบวัคซีนให้ได้