วันที่30 พ.ค.64ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์ (NIDA) ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กหัวข้อ "ทำไมต้องใส่หน้ากากอนามัยทั้งๆ ที่มารถคันเดียวกันเป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วยังต้องแยกโต๊ะรับประทานอาหารด้วย?" โดยระบุว่า ผมเห็นลิเบอร่านถวิลหาเสรีภาพแบบขาดสติปัญญาในเรื่องหน้ากากอนามัย โดยบ่นและโวยวายว่าการให้ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อนั่งรถคันเดียวกันนั้นเป็นเรื่องที่งี่เง่ามาก และมารถคันเดียวกันก็บ้านหลังเดียวกันอยู่แล้ว การออกมาถวิลหาเสรีภาพในภาวะสงครามมหาโรคระบาดโควิด-19 และเกี่ยงงอนในการทำหน้าที่พลเมือง ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม โดยการต่อต้านกฎหมายและชักชวนให้คนอื่นๆ ต่อต้านกฎหมายนั้น นอกจากจะเป็นภัยสังคมแล้วยังเป็นภัยเพิ่มความเสี่ยงของชีวิตตนเองด้วย ดังเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ ครอบครัวหนึ่ง มีพี่น้องกันหลายคน เดินทางไปต่างจังหวัดในรถตู้คันเดียวกันทั้งหมด 12 คน โดยมีรุ่นยายไปหนึ่งคนอายุมากกว่า 90 รุ่นพ่อแม่ 9 คน อายุประมาณ 55-75 ปี และรุ่นลูกอายุประมาณ 30 อีกสองคน สามบ้าน เป็นพี่น้องกันหมด เป็นเครือญาติกันหมด มีคนเดียวที่เป็นหมอรุ่นลูกอายุ 30 ปี ที่ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาในรถตู้ที่เดินทางตลอดเวลา การ์ดไม่ตก และยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ด้วย ที่เหลือ 11 คน รวมคนขับรถที่ผลัดกันขับรถ ไม่ใส่หน้ากากอนามัยเลย เพราะถือว่าเป็นญาติพี่น้องกันหมด และไม่มีใครมีไข้หรือป่วยมาเลย แต่ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ (Asymptomatic patient) มีอยู่มากถึงร้อยละ 80 และที่แสดงอาการมีเพียงร้อยละ 20 ใน 12 คนที่เดินทางไปด้วยกัน ติดเชื้อไป 11 คน ยกเว้นรุ่นลูกที่ใส่หน้ากากอนามัยแม้ในรถตู้ที่มีแต่ญาติกัน 11 คนทีติดเชื้อ เข้าไอซียู ไป 9 คน ทั้งหมด เป็นรุ่นพ่อแม่อายุ 55-70 ปี ได้เข้าไอซียูกันหมด เข้าโรงพยาบาลห้องธรรมดาไปหนึ่งคน คนนี้รุ่นลูก มี 3 คน ที่เสียชีวิตจากโควิด 19 รุ่นพ่อแม่ตายไปสอง รุ่นยายตายไปหนึ่ง มีหนึ่งคนที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการอะไรเลย เพราะเป็นรุ่นลูกอายุน้อย เข้าแค่โรงพยาบาลสนามด้วย การหาเตียงให้คนในครอบครัว 10 คน ที่ทยอยกันป่วยเข้าโรงพยาบาลและทยอยเข้าไอซียู และมีสามคนที่เข้าไอซียูแล้วออกจากไอซียูขึ้นตรงไปที่วัด เอาเข้าเตาเผาทันทีโดยไม่ได้ร่ำลา ในขณะเดียวกันญาติพี่น้องที่ไม่ได้ไปด้วยก็ต้องคอยห่วงอีก 6 คนที่เหลือ เป็นภาวะที่ยากลำบากเหลือเกิน จริงๆ ในเวลานี้ การระบาดรุนแรง แม้กระทั่งในบ้านเดียวกัน ก็ไว้ใจไม่ได้ต้องเว้นระยะทางสังคมนะครับ เพราะผู้ติดเชื้อและไม่ปรากฎอาการแต่เป็นพาหะมีมากเหลือเกิน ไม่ทำตามกฎหมายก็ควรจะรักตัวเองด้วย อย่างน้อยเรื่องจริงที่เล่าให้ฟังนี้ ก็เป็นอุทธาหรณ์ให้เห็นว่า แม้กระทั่งในรถคันเดียวกัน พอไม่ใส่หน้ากากอนามัย เป็นญาติกัน ไม่มีอาการเลยในวันเดินทางแต่เป็นพาหะ ก็แพร่เชื้อไปจนทั้งคันรถ แต่คนที่รอดคือคนที่การ์ดสูง บ้านเมืองถ้ามีแต่คนที่คิดถึงเรื่องเสรีภาพ เอาแต่ใจตนเอง โดยต้องการเสรีภาพเป็นสำคัญมากกว่าชีวิตของตนเองก็ยังไม่รัก ก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้จริงๆ นะครับ "ที่เสียเวลาเล่าให้ฟังก็เพราะอยากให้ลิเบอร่านได้ลองใช้สมอง ใช้สติปัญญา คิด อย่าบ้าสิทธิและเสรีภาพ จนตัวตาย ก็แล้วกัน โปรดช่วยกันแชร์ออกไปครับ แล้วจะเข้าใจว่าทำไม ต้องนั่งแยกโต๊ะในร้านอาหาร ทำไมต้องใส่หน้ากากอนามัยแม้จะนั่งมาในรถคันเดียวกัน อดทน มีวินัย ไม่ฝ่าฝืนกฎหมายเถิดครับ ในภาวะสงครามแบบนี้ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวคุณเอง"