เมื่อวันที่ 30 พ.ค. นายไพศาล พืชมงคล เลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน กล่าวปราศรัยบนเวทีไทยไม่ทนตอนหนึ่งว่า เราเผชิญการแพร่ระบาดไวรัสโควิด ในประเทศไทยมา17เดือนแล้ว และอยู่ในสถานการณ์ของประกาศพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินมายาวนาน ยิ่งใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินนาน ยิ่งกระทบความเชื่อมั่นต่อนานาชาติ ถึงวันนี้มียอดผู้ป่วยสะสม 1.5แสนคน อัตราเสียชีวิตเพิ่มขึ้น แสดงว่าสถานการณ์มีแต่แย่ลงไม่มีดีขึ้น ยอดผู้ป่วยสะสมแซงหน้าประเทศจีนที่มีประชากร 1400 ล้านคน มีผู้ป่วยสะสมเพียง 9 หมื่นคน ในเวลา 17 เดือนกว่า เราเดินหลงทิศผิดทางมุ่งเน้นใช้วัคซีนเท่านั้น ถือเอาวัคซีนเป็นสรณะ ทั้งที่วัคซีนที่ผลิตขึ้นมาไม่ว่าจะใช้เชื้อตายหรือเชื้อเป็นที่สร้างขึ้นมาไม่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิดได้
นายไพศาล กล่าวว่า ไทยมุ่งนำเข้าวัคซีนใหองค์การเภสัชกรรมเท่านั้น ต้องให้องค์การอาหารและยา (อย.) ตรวจสอบคุณภาพ แม้เอกชนจะขอนำเข้าก็ไม่ได้ นอกจากนี้ประเทศที่ผลิตวัคซีน เสนอบริจาคให้ แต่กลับถูกปฏิเสธอีก และไม่รู้ทำไมผูกขาดวัคซีนเพียง 2 ยี่ห้อ เมื่อประเทศชาติ ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอฯ ประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และมีราชกิจจานุเบกษา ประกาศนำวัคซีน ซิโนฟาร์มของรัฐบาลจีน ที่ใช้ในกิจการทหาร ความมั่นคง หากเขาจะให้มา ต้องเป็นประเทศที่มีสัมพันธ์ยาวนาน ลึกซึ้ง แต่ด้วยพระบารมี สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ประกาศนำเข้ามา ทั่วประเทศแซ่ซ้องสรรเสริญ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีเงินเก็บสะสม ประกาศจะใช้เงินขององค์กร ซื้อมาฉีดให้ประชาชนฟรีๆ ก็ต้องดูว่าจะมีใครเป็น ไอ้เข้ขวางคลอง มาขวางอีกหรือไม่
นายไพศาล กล่าวว่า เรามุ่งใช้วัคซีนเป็นสรณะ เดินทางผิดรวบอำนาจและผูกขาดสร้างวาทกรรมว่า วัคซีนแอสตราเซเนกา ต้องฉีดให้ผู้สูงอายุเกิน 60 ปีเท่านั้น ผู้หญิงที่ประจำเดือนไม่ปกติ ตั้งครรภ์ อย่าไปฉีด ไม่เช่นนั้นจะมีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ความสับสนทางข้อมูล บอกวัคซีนบางยี่ห้อ ฉีดให้เฉพาะผู้สูงอายุ บางยี่ห้อฉีดให้คนอายุไม่ถึง 60 ปี คนพูดก็เป็นหมอทั้งนั้น สุดท้ายเลยไม่รู้ คนไหนเป็นหมอ คนไหนเป็นหมา
นายไพศาล กล่าวว่า ขณะเดียวกัน เมื่อเราเดินหน้าเรื่องวัคซีน โดยไม่สนใจรักษาผู้ป่วยโควิดเลย ช่วง 17 เดือน ผู้ป่วยโควิดที่หายรักษาด้วยยาอะไรแล้วหายบ้าง จึงเชื่อว่าเราปกปิด กีดกัน ถ้าบอกรักษาตามอาการก็จะหายได้ใน 3-5 วัน คนไทยไม่รู้เลยว่ามียาอะไรรักษาได้บ้าง จึงหวาดวิตกไปทั่วเมือง
นายไพศาล กล่าวว่า นอกจากนี้ผู้ป่วยทั่วโลกที่รักษาหายจากโควิดล้วนรักษาตามอาการ ไม่เกี่ยววัคซีนเลย ไทยมีผู้ป่วยสะสม 1.5 แสนคน เครื่องมือตรวจไม่พอ ด้วยพระบารมีมีรถพระราชทานส่งรถออกตรวจให้ประชาชน ตนไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลไม่จัดสรรเงินเร่งด่วน ซื้อเครื่องช่วยหายใจให้ทั่วถึงเพียงพอ ถ้ายิ่งช้า อัตราการตายจะเร่งทวีคูณ
นายไพศาล กล่าวว่า ตอนนี้เข็ม1 ยังไม่ได้ฉีด เข็ม 2 ยังไม่ได้ฉีด มีหมอบางพวกบอก ต้องเตรียมฉีดวัคซีนเข็ม 3-4 อีก จะทำให้เราเป็นทาสวัคซีนหรือไม่ ทำไมเราไม่บอกว่า 99 เปอร์ซ็นต์ คนที่หายล้วนรักษาตามอาการ เว้นแต่คนที่มีโรคประจำตัวต้องเข้าโรงพยาบาล เราควรตื่นได้หรือยัง หรือจะเดินหน้าเรื่องวัคซีนต่อไป
นายไพศาลกล่าวว่า ต้องเอาประเทศออกจากวิกฤติคือ 1. ต้องกระจายอำนาจให้ทุกส่วนมีส่วนร่วมแก้ปัญหา ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน คืนอำนาจให้รัฐมนตรี 2. ยกเลิกการผูกขาดวัคซีน 3. เปิดเสรี นำเข้าชุดตรวจโควิด อย่าเอาการเมือง มาเล่นกับชีวิตประชาชน เป็นวิบากกรรม การกระทำอย่างนี้เป็น อนันตริยกรรม กำลังฆ่าคนอย่างเลือดเย็น ควรเปิดใจให้กว้าง คงไม่มีใครเอาชีวิตประชาชนมาทำมาหากินและ 4.ระดมแพทย์แผนไทย แผนโบราณ มาร่วมรักษา คิดและประกาศ ยาอะไรรักษาตามอาการได้บ้าง ประกาศถ้าคนมีอาการตามนี้ ก็ไปซื้อยามากิน 3-5วันหาย เป็นอย่างนี้ คนก็จะไม่กลัวโควิด โรคโคบ้า ก็จะหายไป
นายไพศาล กล่าวว่า ผลจากโควิดทำให้หนี้สินประชาชนมากขึ้น คนตกงาน โรงงานปิดกิจการ รัฐบาลควรออกมาตรการช่วยเหลือเมื่อจะออกจากวิกฤติโคบ้า ต้องเดินหนทางให้ถูก มีวิธีการที่ถูกต้อง ระดมพลังสามัคคีทั้งชาติ เวลานี้ไม่ใช่เวลามาตั้งไอโอ ให้มาทะเลาะ ด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง ไม่ใช่เวลามาแบ่งแยกแล้วปกครอง เราต้องสามัคคีคนในชาติเลิกทะเลาะเบาะแว้ง ใครบังอาจคิดแบ่งแยกแล้วปกครอง กำลังจะสิ้นชาติ เพราะเราไม่ได้เผชิญกับโคบ้าอย่างเดียว ยังเผชิญกับการล่านิคมอีกบ้านเมืองเราศักดิ์สิทธิ์พระสยามเทวาธิราชมีจริง บารมีพระเจ้าอยู่หัวยังสว่างไสว ขอให้ทุกคนนำพาชาติบ้านเมือง ออกจากวิกฤติ เลิกทะเลาะเบาะแว้ง