น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 1 ปี 2564 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรองและสภาพคล่องอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง สามารถรองรับความต้องการสินเชื่อและความผันผวนของเศรษฐกิจในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นช่วยชะลอการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ผลประกอบการปรับลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อที่ลดลง โดยระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 3,017.2 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ร้อยละ 20.0 เงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 823.4 พันล้านบาท โดยอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio) อยู่ที่ร้อยละ 149.7 และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio : LCR) อยู่ที่ร้อยละ 186.5 ทั้งนี้ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ ในไตรมาส 1 ปี 2564 ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.8 เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563 จากร้อยละ 5.1 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยสินเชื่อธุรกิจ (ร้อยละ 64.3 ของสินเชื่อรวม) ขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.0 เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563 สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ชะลอตัวลงจากการเร่งใช้สินเชื่อในช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อเสริมสภาพคล่อง และส่วนหนึ่งเป็นผลจากการระดมทุนผ่านธนาคารพาณิชย์แทนตลาดการเงินที่มีความผันผวนสูงในช่วงต้นปีที่แล้ว ขณะที่ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ ส่งผลให้สินเชื่อ SMEs หดตัวในอัตราที่ลดลง แม้ไม่รวมผลของมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภค (ร้อยละ 35.7 ของสินเชื่อรวม) ขยายตัวที่ร้อยละ 5.3 เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563 และปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 4.4 โดยหลักจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ที่อยู่อาศัยที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแนวราบ ประกอบกับการส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการ และผลบวกจากมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมของภาครัฐ ขณะที่สินเชื่อรถยนต์ชะลอตัวตามยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ยังคงหดตัวจากปีก่อน ด้านสินเชื่อบัตรเครดิตขยายตัวเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนที่ได้รับผลจากการระบาดในช่วงแรก และสินเชื่อส่วนบุคคลขยายตัวได้จากความต้องการสภาพคล่องในภาคครัวเรือน ซึ่งบางส่วนเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันผ่าน online platform และบัตรกดเงินสด โดยคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 1 ปี 2564 ยังคงได้รับผลจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ โดยยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loan : NPL หรือ stage 3) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 537.1 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ร้อยละ 3.10 ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (Significant Increase in Credit Risk : SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ร้อยละ 6.41 ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 6.62 "แนวโน้มหนี้เสีย เป็นประเด็นที่ ธปท. และสถาบันการเงินกังวล ซึ่งกลุ่มที่เป็นห่วงคือ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม ขนส่งผู้โดยสาร สายการบิน ภัตตาคาร และร้านอาหาร แต่หวังว่าเมื่อรัฐบาลมีการผ่อนคลายมาตรการในพื้นที่ควบคุมสีแดงเข้ม จะช่วยให้ธุรกิจร้านอาหารมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ซึ่ง ธปท. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมออกมาตรการเมื่อจำเป็น" ทั้งนี้ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2564 จำนวน 43.8 พันล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 12.0 โดยหลักจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อที่ลดลง หากเทียบกับไตรมาสก่อน กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายเงินสำรองที่ลดลงจากการกันสำรองในระดับสูงในปี 2563 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Assets : ROA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 0.80 จากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 0.32 ขณะที่อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (Net Interest Margin : NIM) ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.43 จากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 2.52 ขณะที่การจ่ายเงินปันผลของธนาคารพาณิชย์นั้น ธปท.อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยจะต้องดูถึงฐานะของธนาคารพาณิชย์ ผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น ผู้ฝากเงิน และผู้ขอสินเชื่อ โดยจะมีการชี้แจงในรายละเอียดต่อไป พร้อมย้ำว่า ขณะนี้ ธปท.ยังมีนโยบายให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายปันผลได้เพียงปีละ 1 ครั้ง โดยยังไม่ให้ปันผลระหว่างกาล ส่วนความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือจากโครงการซอฟต์โลน และการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินนั้น ปัจจุบันมีสินเชื่ออนุมัติแล้วทั้งสิ้น 138,200 ล้านบาท โดยมีจำนวนลูกหนี้ที่ได้รับซอฟต์โลน 77,787 ราย ส่วนโครงการสินเชื่อฟื้นฟู มีสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติแล้ว 8,225 ล้านบาท โดยมีผู้ได้รับสินเชื่อแล้ว 4,454 ล้านบาท และมีวงเงินอนุมัติเฉลี่ยต่อราย 18 ล้านบาท