นางสาวธนพร ฐิติสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า Market Analysis Report ได้รายงานตลาดของ Location Intelligence ทั่วโลกในปี 2562 มีมูลค่า 10,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ คาดจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ถึง 15.2% ในช่วงปี 2563 – 2570 รายงานผลวิเคราะห์ยังกล่าวถึง ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของการนำ Location Intelligence ไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงานธุรกิจต่างๆ อาทิ การบูรณาการข้อมูลโลเกชันกับข้อมูลทางธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ และการวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ ( Business Continuity Management) รวมทั้งยังสามารถนำข้อมูล Location Intelligence ไปใช้ในการคาดการณ์ภัยพิบัติล่วงหน้า (Situation management) เพื่อลดความเสียหาย ซึ่งปัจจุบันถูกนำมาใช้ในการบริหารจัดการและมอนิเตอร์สถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ อาทิ ภัยพิบัติ มลพิษ หรือสถานการณ์การระบาดของโรคในปัจจุบัน เป็นต้น นอกจากนี้การเข้ามามีบทบาทของเทคโนโลยี IOT ในหลายภาคธุรกิจ ยังผลักดันให้เกิดความต้องการการใช้งาน Location Intelligence ร่วมกับการวิเคราะห์อุปกรณ์ IOT ในรูปแบบของการวิเคราะห์ประมวลผลเชิงลึก (Geospatial Analytic) อาทิ ที่ตั้งอุปกรณ์ IOT ใกล้-ไกลพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ ทำการคาดการณ์อายุการใช้งานและวางแผนการซ่อมบำรุง ป้องกันการเสียหาย เพื่อส่งผลที่ดีที่สุดต่อการดำเนินธุรกิจภาพรวม และในปัจจุบัน การขยายตัวของเมือง (Urbanization) ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลถึงความต้องการระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานและความต้องการในโครงสร้างก่อสร้างขนาดใหญ่อย่างกว้างขวาง ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อมูล Location Intelligence เข้าไปมีบทบาทคู่ขนานกับการนำข้อมูลทางธุรกิจและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนการก่อสร้าง หรือคาดการณ์แนวโน้มการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับการกระจายตัวของประชาชนที่เกิดขึ้น ดังนั้น ปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้นนี้เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมตลาด Location Intelligence ที่ขยายตัวขึ้นอย่างมาก สอดคล้องกับรายงานของ Forbes พบร้อยละ 53 ของผู้ประกอบการมอง Location Intelligence เป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ "การใช้ Location Intelligence หรือข้อมูลแผนที่เชิงลึก ควบคู่กับการใช้บิ๊กดาต้า เป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กร ช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จ เห็นมุมมองทางธุรกิจได้ชัดเจน เป็นกุญแจการเดินเกมกลยุทธ์ทางธุรกิจในยุคที่ปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจผันผวนและพลิกเปลี่ยนรวดเร็ว นอกจากนี้ GIS หรือ โลเกชัน ยังสามารถนำไปใช้ในการทำงาน Day-to-Day Operation รวมทั้งภารกิจที่สำคัญ (Mission Critical) อาทิ เหตุการณ์ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยภาครัฐบาลได้นำ GIS ไปใช้ ในการบริหารจัดการและมอนิเตอร์สถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นต้น" นางสาวธนพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ทิศทางธุรกิจของอีเอสอาร์ไอ ในปี 2564 นี้ มุ่งพัฒนาโซลูชันเรือธง ผ่านเทคโนโลยี GIS ด้วยซอฟแวร์ ArcGIS เพื่อหนุน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก คือ ธุรกิจค้าปลีก เมืองอัจฉริยะ (Smart City) และ โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม เพื่อเป้าหมายในการแก้ pain point แต่ละอุตสาหกรรม ประกอบด้วย 1. ธุรกิจค้าปลีก (Retail) ด้วยการนําข้อมูลเชิงตําแหน่งและพื้นที่มาใช้ในการวิเคราะห์ และนําเสนอมุมมองใหม่ ๆ ไปสู่การตัดสินใจทางกลยุทธ์ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลตอบแทนสูงสุด ด้วย 2 โซลูชัน คือ โซลูชัน Market Planning and Site Analysis วิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่เพื่อเพิ่มโอกาสทางการขาย รวมถึงการปรับ-รวม-ย้ายสาขา ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการหาข้อมูลและการสํารวจ และ โซลูชัน Trade Area and Zone Planning วิเคราะห์พื้นที่ให้บริการจากตำแหน่งสาขา เพื่อกำหนดขอบเขตให้บริการ พื้นที่ครอบคลุม หรือพื้นที่ทับซ้อน และรูปแบบการให้บริการ ทำให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนค่าขนส่ง และจัดสรรสินค้าได้ตรงกลุ่มผู้บริโภคในพื้นที่ เพื่อยอดขายที่เพิ่มขึ้น 2. สมาร์ทซิตี้ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเมืองสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งจําเป็นต้องมีข้อมูลเชิงตําแหน่ง (Location-based) เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางผัง ออกแบบ และวางแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยการนําเทคโนโลยี GIS เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อบูรณาการฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ นําไปสู่การพัฒนาโซลูชันให้สอดคล้องกับความเป็นเมืองอัจฉริยะด้านต่าง ๆ รวมทั้งระบบบริหารจัดการ และติดตามสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องการเห็นข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทันต่อเหตุการณ์ เช่น งานการจัดการภัยพิบัติต่าง ๆ และงานติดตามสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 และระบบติดตามสถานการณ์นํ้าท่วมในพื้นที่ เป็นต้น 3. โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม (AEC) โซลูชันที่นำเอาความสามารถของการทำงานเชิงพื้นที่ ประยุกต์ใช้สำหรับงานด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรมและการก่อสร้าง ช่วยลดความซ้ำซ้อนและอำนวยความสะดวกในการทำงาน เริ่มตั้งแต่การออกแบบ วางผัง และการจำลองอาคารในรูปแบบ 3 มิติ รวมถึงระบบวิศวกรรมการซ่อมบำรุง นอกจากนี้ ArcGIS ยังเพิ่มความสามารถด้านแผนที่ สำหรับผู้ใช้งาน AutoCAD และการบูรณาการชั้นข้อมูล GIS เพื่อช่วยในการประเมินผลกระทบทางด้านสภาพแวดล้อมได้อีกด้วย นอกจากการให้บริการดังกล่าวให้กับลูกค้าในประเทศซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักแล้ว อีเอสอาร์ไอ ในฐานะตัวแทนบริษัทชั้นนำจาก อีเอสอาร์ไอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยผลิตภัณฑ์ภูมิสารสนเทศที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ยังมีเป้าหมายในการขยายบริการ Location Intelligence ไปยังตลาดต่างประเทศลาวและกัมพูชาภายในปี 2564 นี้อีกด้วย โดยมั่นใจว่าด้วยพลังของบิ๊กดาต้าซึ่งเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ Location Intelligence จะเป็นเครื่องมือที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการขับเคลื่อนทุกธุรกิจของลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรมให้ก้าวต่อได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และพาธุรกิจก้าวล้ำนำหน้ากว่าผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน นางสาวธนพร กล่าวทิ้งท้าย