ที่ปรึกษาสมาคมพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เข้าช่วยเหลือยายวัยเกือบ 80 ปี ไม่รู้หนังสือ อยู่บ้านตามลำพัง ถูกหลอกให้ทำนิติกรรมสัญญาฉ้อฉล ทั้งขายที่ดินและเช่าบ้านตนเอง หลังใจดีนำโฉนดค้ำประกันเงินกู้ 40,000 บาท ให้เพื่อนของเพื่อน ความแตกโดนขับไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น หากไม่ย้ายออกไปต้องชดใช้เงินคืน 250,000 บาท ร้อนถึงลูกชายอยู่กรุงเทพ ฯ นำทีมกฎหมายลงพื้นที่เก็บข้อมูล ฟ้องศาลขอที่ดินคืน พร้อมแจ้งความเอาผิดผู้บุกรุกหลอกให้แม่ไม่รู้หนังสือทำสัญญาเช่าบ้าน โยงคนมีสีในพื้นที่เอี่ยวร่วมแก๊ง
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 64 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มียายวัย 78 ปี ที่หมู่ 6 บ้านวังขอน ต.งิ้วงาม อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ อยู่บ้านคนเดียวตามลำพัง ถูกแก๊งมิจฉาชีพลิสซิ่งหลอกให้ทำนิติกรรมสัญญาเงินกู้จำนองที่ดินค้ำกู้ให้เพื่อนสนิทของเพื่อนในหมู่บ้าน แต่ดันพาไปทำหนังสือสัญญาขายที่ดินและโอนที่ดินแทน แถมกีดกันลูกสาวเจ้าของที่ดินไม่ให้ขึ้นไปบนสำนักงานที่ดินจังหวัด จนกระทั่งเวลาผ่านมาได้ประมาณ 6 ปีกว่า กลับต้องทุกข์ใจที่โดนหลอกซ้ำสองแถมคนมีสีในหมู่บ้านพร้อมลูกบ้านผสมโรงให้ทำสัญญาเช่าบ้านของตนเอง หากไม่ทำสัญญาต้องหาเงิน 250,000 บาท มาจ่ายใช้หนี้เพื่อไถ่บ้านคืนไป ความแตกลูกชายทำงานอยู่กรุงเทพฯ รู้เรื่อง แม่ถูกหลอกให้โอนที่ดินเนื้อที่กว่า 45 ตารางวา แถมต้องหาเงินไถ่ถอนบ้านที่ตนเองอยู่อาศัยมานานเกือบ 40 ปี โดยที่แม่ไม่รู้หนังสือและอ่านหนังสือไม่ออกเนื่องจากไม่ได้ร่ำเรียนมา ได้ปรึกษาเพื่อนที่ทำงานพร้อมพาทนายลงมาดูคดีช่วยแม่ที่อุตรดิตถ์ พบพิรุจเอกสารในหนังสือสัญญาขายที่ดินและหนังสือมอบอำนาจไม่มีลายมือชื่อลูกสาวในฐานะพยาน แถมผู้ทำสัญญาขายอายุเกิน 70 ปี ไม่รู้หนังสือ ทำนิติกรรมบนสำนักงานที่ดินด้วยการโอนที่ดินดังกล่าวให้กับบุคคลอื่นได้อย่างไร จึงอยากร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน ช่วยทำคดีนี้ให้เป็นคดีตัวอย่างให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ถึงวิธีการฉ้อฉลหลอกลวงผู้สูงอายุที่อยู่บ้านตามลำพัง ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อกับคนใกล้ตัวและคนแปลกหน้า
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านคุณยายจันทร์ หรือ นางจันทร์ (บัวล้อม) คงรอด อายุ 78 ปี เลขที่ 91 หมู่ 6 บ้านก่อปูนชั้นเดี่ยวมุงสังกะสี มีรั้วไม้ล้อมรอบตัวบ้าน บนเนื้อที่ดินกว่า 53 ตารางวา ที่ดินด้านหน้าติดถนนสายวังสีสูบ-งิ้วงาม-ผาเลือด ที่ดินด้านข้างขวาติดถนนซอยออกสู่ถนนใหญ่สายเขื่อนสิริกิติ์-อุตรดิตถ์ พบคุณยายจันทร์อยู่ภายในบ้าน โดยมีลูกชาย-ลูกสาว อยู่พร้อมหน้ากันรวมกัน 3 คน ด้วยภายในบ้าน โดยมีเพื่อนของลูกชายที่มาจากกรุงเทพฯร่วมให้คำปรึกษาชี้แนะแนวทางในการต่อสู้คดีครั้งนี้
ด้านนายวณิชโรจน์ ธนมนัสนันท์ ที่ปรึกษาครอบครัวคงรอด กล่าวว่า เป็นเพื่อนสนิทกับลูกชายยายจันทร์ หญิงชราวัยเกือบ 80 ปี ทราบเรื่องราวทั้งหมดจึงเดินทางมาอุตรดิตถ์ พร้อมนายผดุงศักดิ์ เทียนไพโรจน์ ประธานที่ปรึกษาสมาคมพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อหาทางช่วยเหลือครอบครัวนี้ เบื้องต้นขอคัดสำเนาเอกสารเกี่ยวกับที่ดินของยายจันทร์เกี่ยวกับการทำนิติกรรมสัญญำนองที่ดินกับเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดอุตรดิตถ์ ทำให้ทราบว่าที่ดินที่เคยอยู่อาศัยมานานเกือบ 40 ปี ถูกถ่ายโอนขายไปแล้วตั้งแต่ปี 2558 เป็นระยะเวลานานถึง 6 ปี ผู้รับโอนมีชื่อเล่นว่า “ นายพงษ์ ” วันเดียวกับที่นายพงษ์รับยายจันทร์มาที่สำนักงานที่ดินจังหวัดอุตรดิตถ์ ทำสัญญาจำนองโดยไม่ยอมให้ลูกสาวขึ้นไปบนสำนักงานที่ดิน หวังปิดบังอำพรางการทำนิติกรรมดังกล่าว ฯ เพื่อไม่ให้รับทราบถึงวิธีการทำนิติกรรมดังกล่าว การทำสัญญาไม่ได้เป็นการทำตามที่ตกลงไว้แต่เป็นการซื้อขายที่ดิน โดยนายพงษ์ให้คุณยายจันทร์ วัยเกือบ 80 ปี ปั้มลายนิ้วมือ แทนการลงชื่อลงในหนังสือสัญญามอบอำนาจให้เป็นผู้ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดิน รวมถึงการสอบปาก คำทำแทนคุณยายจันทร์ทุกอย่างในฐานะผู้ซื้อ หนังสือดังกล่าวเป็นการทำขึ้นมาเอง และทำโดยปิดบังเรื่องไม่ให้ลูกสาวยายได้รับรู้เรื่องทั้งหมดและไม่ให้ลูกสาวยายขึ้นไปบนสำนักงานที่ดินและเซ็นเอกสารในฐานะพยานที่รับรู้เรื่องการซื้อขายที่ดินดังกล่าว ทั้งที่เดินทางมาสำนักงานที่ดินด้วยกัน สิ่งที่สำคัญหนังสือเอกสารหรือสำเนาก็ไม่ได้มีให้กับคุณยายจันทร์ติดมือกลับมาหลังจากทำนิติกรรมเสร็จแล้ว จึงรวบรวมเอกสารที่ได้ทั้งหมดและเป็นเอกสารมัดเอาผิดนายพงษ์ ให้นายผดุงศักดิ์ ประธานที่ปรึกษาสมาคมพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในฐานะทนายความ ฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเอาที่ดินกลับคืนมา รวมถึงแจ้งความข้อหาบุกรุกเคหะสถานกับบุคคลที่เข้ามาภายในบ้านยายจันทร์บังคับขู่เข็นให้ทำสัญญาเช่าบ้าน-ตึกแถว ทั้งที่ยายเป็นเของบ้านกลับต้องมาเป็นผู้เช่าบ้านแทน
นางวาสนา คงเนตร ลูกสาวยายจันทร์ วัยเกือบ 80 ปี เล่าให้ฟังว่า เพื่อนแม่ชื่อยายพา ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านสนิทกันมาก มาขอยืมโฉนดที่ดินที่อาศัยอยู่ปัจจุบัน ชื่อผู้ครอบครองเป็นชื่อของแม่ ยังไม่ถ่ายโอนให้กับลูกคนใด เป็นที่ดินซื้อต่อจากพี่สาวของแม่ ซื้อมานานเกือบ 40 ปีแล้ว โดยปลูกสร้างบ้าน 1 หลัง หลังจากที่คุณพ่อสิ้นบุญตั้งแต่ลูกยังเล็กได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่อุตรดิตถ์ เลี้ยงลูกทั้งหมด 5 คน เสียชีวิตไป 2 คน ที่เหลือ 3 คน เติบใหญ่ต่างมีครอบครัว ย้ายอยู่กับครอบครัวในพื้นที่อุตรดิตถ์และต่างจังหวัด แม่ไม่รู้หนังสือแต่ดูแลตนเองมาตลอด โดยมียายพาเพื่อนสนิทกันมาก มีบ้านอยู่ติดกันดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาตลอด
“ยายพา” มาหาแม่บอกว่า นางแดงซึ่งเป็นเพื่อนที่สนิทกันเดือดร้อนเรื่องเงินจำนวน 40,000 บาท ขอกู้เงินกับลิสซิ่งหรือไฟแนนซ์ในตัวเมืองอุตรดิตถ์ แต่จำเป็นต้องใช้โฉนดที่ดินค้ำประกัน ตนเองอยากช่วยเพื่อนนางแดงที่สนิทกัน ขอยืมโฉนดที่ดินของแม่ไปค้ำเงินกู้ อ้างขอยืมไปเพียงแค่เดือนเดียวแล้วจะนำมาคืนให้
ด้วยความไว้วางใจยายพาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน จึงยอมให้โฉนดที่ดินไป เพื่อค้ำเงินกู้ให้กับนางแดง และยอมขึ้นรถแท็กซี่ไปที่บริษัทไฟแนนซ์แห่งหนึ่งในตัวเมืองอุตรดิตถ์ ทำสัญญาเงินกู้ มีนางแดงเป็นผู้ส่ง ส่งบ้างไม่ส่งบ้าง เจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์มาถึงบ้านแจ้งว่า นางแดงไม่ยอมส่งเงินกู้ และแจ้งนางแดงทราบ พร้อมนำเงินสด 20,000 บาท ไปส่งไฟแนนซ์ แต่ถูกหักค่าติดตามกับดอกเบี้ย 7,000 บาท เหลือเงิน 13,000 ทางไฟแนนซ์ไม่ยอมนำไปหักดอกเบี้ยและเงินต้น แต่ขอนำเงินส่วนที่เหลือเป็นค่าติดตามครั้งต่อไป
จากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ไฟแนนซ์มาที่บ้านมาคุยกับแม่หลอกออกอุบายว่า สงสารแม่อยากให้ไปทำเรื่องจำนองที่ดินที่สำนักงานที่ดินังหวัดอุตรดิตถ์ โดยทำหนังสือสัญญาจำนองเงิน 40,000 บาท พร้อมกีดกันไม่ให้ตนเองขึ้นไปบนสำนักงานที่ดินด้วย หลังจากทำนิติกรรมเสร็แล้วก็กลับลงมาพร้อมกับแม่ แล้วบอกว่าทำเรื่องจำนองที่ดินเสร็แล้วกลับบ้านได้ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558
หลังเสร็จเรื่องทำสัญญาบนสำนักงานที่ดินจังหวัดอุตรดิตถ์ผ่านมาถึง 6 มีคนมาแจ้งบอกแม่ว่า บ้านที่อาศัยอยู่นี้มีเจ้าของแล้ว “ขอให้ย้ายออกไป” หากไม่ย้ายออกไปให้นำเงิน 250,000 บาท มาไถ่กลับคืนไป จึงแจ้งให้พี่น้องชายซึ่งอยู่นครปฐมได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด น้องชายบอกขอปรึกษาหารือกับเพื่อนและทนายความ พร้อมลงมาอุตรดิตถ์ด้วยกันเพื่อร่วมแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้กับแม่
ขณะที่นายผดุงศักดิ์ เทียนไพโรจน์ ประธานที่ปรึกษาสมาคมพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เดินทางมาที่สถานีตำรวจภูธรเมืองอุตรดิตถ์ พร้อมด้วยยายจันทร์หรือนางจันทร์ คงรอดและนายธนา คงรอด บุตรชายคนเล็ก เข้าพบ ร.ต.อ.เลข มนเทียน พนักงานสอบสวน แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเอาผิดกับบุคคลที่เข้ามาพบยายจันทร์ ข้อหาบุกรุกและร่วมกันบังคับขู่เข็ญให้ลงลายมือชื่อด้วยการพิมพ์ลายนิ้วมือ ทำสัญญาเช่าบ้านและตึกแถว ซึ่งยายจันทร์ไม่ยินยอมทำให้ แต่ด้วยความกลัวที่ถูกข่มขู่จึงต้องพิมพ์ลายนิ้วมือให้ไป พร้อมนำสำเนาเอกสารเช่าบ้าน-ตึกแถว มอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมา พ.ต.อ.นนทวร สีอินทร์ ผกก.สภ.เมืองอุตรดิตถ์ ขอทราบรายละเอียดความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมด พร้อมมอบหมายให้ พ.ต.ท.เวช เทียบน้ำอ่าง รอง ผกก.สส.ผู้รับผิดชอบคดีนี้ ให้ความเป็นธรรมกับเจ้าทุกข์เป็นหญิงวัยเกือบ 80 ปี ถูกหลอกให้ทำสัญญาเช่าบ้านตนเอง พร้อมหาผู้ร่วมกระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายต่อไป
นายผดุงศักดิ์ ประธานที่ปรึกษาสมาคมพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ กล่าวว่า วันนี้พาคุณยายจันทร์ หญิงอายุวัยเกือบ 80 ปี พร้อมลูกชายเข้าพบพนักงานสอบสอบ แจ้งความเอาผิดกับบุคคลที่บุกรุกในเคหะสถานและข่มขู่บังคับจิตใจให้ทำนิติกรรมสัญญาเช่าบ้านโดยพิมพ์ลายนิ้วมือ คนมีสีในพื้นที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย เบื้องต้นเหตุเกิดจากยายจันทร์ มีที่ดินและบ้านเป็นของตนเองอาศัยอยู่บ้านเลขที่ปัจจุบัน ไม่ได้เรียนรู้หนังสือและอ่านออกเขียนได้ มีกลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาหลอกลวงให้ยายทำนิติกรรมสัญญาจำนองที่ดินเพื่อเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน บนสำนักงานที่ดินจังหวัดอุตรดิตถ์ ทั้งที่ยายก็ไม่ได้กู้ยืมเงินไป แต่เอาหลักประกันโฉนดที่ดินมาในเรื่องของการชำระหนี้ แต่กลับทำนิติกรรมสัญญาขายที่ดินแปลงนี้ให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ
“ จึงได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลจังหวัดอุตรดิตถ์ คดีดำหมายเลข พ 307/2564 ฟ้องร้องเพิกถอนนิติกรรมที่ทำขึ้นมานั้น เป็นนิติกรรมฉ้อฉลพร้อมติดตามเอาทรัพย์คืน เพราะทรัพย์สินนี้เป็นของยาย ซึ่งยายไม่ได้ขายและไม่ได้รับเงินหรือเอกสารใดทั้งสิ้น
คดีนี้เป็นอุทาหรณ์ชั้นดีว่า มีหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าอย่าไว้ให้กับคนแก่ โอกาสที่จะถูกหลอกลวงแบบนี้มีเป็นจำนวนมาก พวกนี้จะมีกลุ่มติดป้ายตามเสาไฟฟ้าให้กู้เงิน รับจำนอง จำนำ ขายฝาก จะมีกลุ่มนายหน้าวิ่งหาในแต่ละพื้นที่ ใครมีความเดือดร้อนเรื่องเงินหรือที่ดิน แต่เมื่อหลงเข้าไปอยู่ในกลุ่มนี้หากมีช่องว่างโดยเฉพาะคนแก่มีโอกาสที่จะถูกหลอกลวงได้ ด้วยการอาศัยช่องว่างของคนแก่ อาศัยช่องว่างไม่รู้กฎหมาย อาศัยช่องว่างไม่รู้หนังสือเขียนและอ่านภาษาไทยได้ ”