ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย ในขณะที่โลกกำลังเกิดวิกฤติการณ์จากโรคระบาดโควิด-19 อันมีผลทำให้มีผู้ติดเชื้อกว่า 150 ล้าน และเสียชีวิตเกือบ 50 ล้านแล้วนั้น ปัญหาความขัดแย้งเรื่องดินแดนที่มีมายาวนาน แต่ไม่ได้รับการแก้ปัญหาด้วยความยุติธรรม ตรงข้ามกลับมีการเอียงข้างสนับสนุนให้เกิดการกดขี่ข่มเหง และแย่งยึดดินแดนของชาวปาเลสไตน์ โดยชาวยิวที่อพยพเข้ามาจากยุโรปและสหรัฐฯ ภายใต้การนำของรัฐบาลขวาจัด ที่สืบทอดมาจนถึงสมัยรัฐบาลเนธันยาฮู ก่อนพูดถึงเหตุการณ์ปัจจุบันที่อาจบานปลายเป็นสงครามใหญ่ก็ขอย้อนหลังไปดูอดีตแบบย่นย่อดังนี้ ดินแดนปาเลสไตน์เป็นอาณาจักรที่ดำรงอยู่มานับพันปี บางครั้งก็จะถูกมหาอำนาจ เช่น อาณาจักรโรมันยึดครอง บางครั้งก็ออตโตมาน-ตุรกี ยึดครอง ดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ มิได้แห้งแล้งเป็นทะเลทราย เหมือนที่มีความพยายามสร้างภาพ โดยอิสราเอล ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และจักรวรรดิออตโตมาน ถูกทำลายลงดินแดนเหล่านี้ก็เป็นที่หมายปองของชาวอิสราเอลที่ร่อนเร่อยู่ในยุโรป แต่มาประสบความสำเร็จภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวอิสราเอล โดยการนำของขบวนการไซออนิสต์ได้ชักนำให้รัฐบาลอังกฤษ ให้สนับสนุนตนมาตั้งหลักแหล่ง โดยสนธิสัญญาบัลโฟร์ ซึ่งไม่มีความชอบธรรมเลย เพราะอยู่ๆก็มายกดินแดนแห่งนี้ ซึ่งไม่ใช่ของอังกฤษมาให้กับชาวยิวเหล่านั้น งานนี้สหรัฐฯและฝรั่งเศสก็ให้การสนับสนุนด้วยอิทธิพลของขบวนการไซออนิสต์ เริ่มต้นชาวยิวได้พื้นที่เพียงประมาณ 22% ของพื้นที่ทั้งหมด พื้นที่ที่เหลือเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวปาเลสไตน์ ที่นับถือศาสนาต่างๆ เช่น ศาสนาอิสลาม ศาสนายูดา และศาสนาคริสต์ ที่อาศัยอยู่เดิม ต่อมาก็มีการสร้างสถานการณ์ต่างๆจนเกิดสงครามระหว่างชาติมุสลิม ที่หนุนชาวปาเลสไตน์ กับรัฐบาลเทล อาวีฟ สงครามนี้เกิดหลายครั้งแต่เบื้องหลังสหรัฐฯและอังกฤษให้การสนับสนุน แม้แต่ส่งฝูงบินไปช่วยแบบลับๆตลอด กระทั่งการให้ข่าวกรองทางทหารที่มีประสิทธิภาพ เมื่อได้รับชัยชนะจากสงครามรัฐบาลอิสราเอลก็ใช้กลวิธีต่างๆในการขยายดินแดนเข้าไปยึดครองพื้นที่ของชาวปาเลสไตน์ โดยไม่คำนึงถึงมติของสมัชชาใหญ่ องค์กรสหประชาชาติ และยิ่งนานวันก็ขยายพื้นที่ยึดครองและสร้างนิคมขึ้นไปเรื่อยๆ จนปัจจุบันชาวปาเลสไตน์มีพื้นที่เพียง 22% ของพื้นที่ทั้งหมดและถูกแยกเป็น 2 ส่วน คือ ฝั่งเวสท์แบงค์ ที่ติดกับจอร์แดน และกาชา ที่ติดกับอิสราเอลและอียิปต์ แต่พื้นที่ทั้ง 2 ก็ถูกปิดล้อมโดยในพื้นที่เวสท์แบงค์ ถูกสร้างกำแพงปิดกั้นห้ามใช้ถนนและยังระบายน้ำเสีย ตลอดจนสารพิษไปทำลายพื้นที่เกษตรกรรมของชาวปาเลสไตน์ กีดกันด้านการศึกษาและการแพทย์ ส่วนด้านกาซา ถูกปิดล้อมทางทะเลและด้านชายแดนอียิปต์ จนขาดแคลนอาหาร ยารักษาโรค แม้แต่ของเล่นเด็ก ส่วนการปฏิบัติของกองทัพและตำรวจอิสราเอลก็กดขี่ข่มเหงชาวปาเลสไตน์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในดินแดนยึดครองด้วยประการต่างๆ ต่อมารัฐบาลเนธันยาฮู ก็ประกาศเข้ายึดครองเยรูซาเล็ม ซึ่งตามติองค์การสหประชาชาติให้แบ่งเป็น 2 ส่วน ฝั่งตะวันตกเป็นของยิว ฝั่งตะวันออกเป็นของปาเลสไตน์ และถือเป็นเมืองหลวงของตน เมื่อยึดครองเยรูซาเล็มก็ประกาศเป็นเมืองหลวงโดยย้ายจากเทลอาวีฟ ทั้งนี้สหรัฐฯในสมัยทรัมป์ก็ให้การสนับสนุนทันทีด้วยการย้ายสถานทูตมาอยู่ ทำให้ชาติตะวันตกและประเ ทศที่อยู่ในเครือข่ายสหรัฐฯ เริ่มทยอยย้ายสถานทูตตามมา นับว่าความพยายามของรัฐบาลอิสราเอลประสบความสำเร็จ หลังจากได้พยายามมานาน ณ เยรูซาเล็ม รัฐบาลเนธันยาฮู ภายใต้การชี้นำของไซออนิสต์ ก็ดำเนินการกดขี่และแบ่งแยกเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่มิใช่ชาวยิว จนเกิดความตึงเครียดมาอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2021 ตำรวจอิสราเอลได้ใช้กำลังบุกเข้าไปในมัสยิดอัลอักซอ อันถือเป็นหนึ่งในสามของสถานที่ศักดิ์สิทธิของบรรดาชาวมุสลิมทั่วโลก ไม่แค่บุกแต่ใช้กำลังทุบตีจับกุม และใช้อาวุธปืนทำร้ายชาวมุสลิมที่เข้าไปสวดมนต์ในยามค่ำ ช่วงเดือนถือศีลอด จากนั้นก็เข้ายึดครองมัสยิด ห้ามคนปาเลสไตน์เข้าโดยอ้างการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งไม่สมเหตุผลเพราะเขาเว้นระยะห่างและใส่หน้ากาก ต่อมามีข่าวว่าเกิดความพยายามที่จะวางเพลิงเผามัสยิดอัลอักซออีกด้วย เหตุนี้จึงเกิดการประท้วงในเยรูซาเล็ม และทั่วปาเลสไตน์ โดยขบวนการฮามาส ที่ต้องการปลดแอกจากการยึดครองของอิสราเอล ได้ยื่นคำขาดให้ถอนกำลังออกจากมัสยิดอัลอักซอ แต่รัฐบาลอิสราเอลเพิกเฉย ฮามาสจึงยิงจรวดใส่พื้นที่ยึดครองของอิสราเอล ด้านอิสราเองก็ตอบโต้ด้วยการส่งฝูงบินไปถล่มกาซาทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน รวมทั้งเด็กอีก 6 คน ฮามาสจึงยิงจรวดใส่นครเทลอาวีฟอีกนับร้อยลูก ทหาร ตำรวจในเยรูซาเล็ม ก็ยิงใส่ผู้ประท้วงจนเสียชีวิตหลายสิบคน ส่วนท่าทีของตะวันตก ก็ออกมาเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง แต่มิได้ประณามการกระทำของอิสราเอลเลย ที่เป็นผู้เริ่มก่อเหตุ นาย Ned Price โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯได้ออกมาแถลงต่อสื่อว่าการที่อิสราเอลทั้งระเบิดใส่ปาเลสไตน์ที่กาซา เพื่อเป็นการปกป้องตนเอง แต่พอผู้สื่อข่าวถามว่าการที่ชาวปาเลสไตน์ถูกเข่นฆ่า จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน รวมเด็กอีก 6 คนนั้น จะถือว่าชาวปาเลสไตน์มีสิทธิปกป้องตนเองหรือไม่ นาย Ned Price ก็อึกอักเอ้ออ้าไม่กล้าตอบอะไร ความจริงก็คือรัฐบาลสหรัฐฯถูกเครือข่ายยิวไซออนิสต์ครอบงำมาตลอด ตัวอย่างเช่น รัฐบาลของนายไบเดนมีชาวยิวเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงสำคัญถึง 7 คน รวมทั้งนางยาเลนรมต.คลัง นายบลิงเกน รมต.การต่างประเทศ ตลอดจนผอ.เอฟ.บี.ไอ ก็เป็นชาวยิว นอกจากนี้ชาวยิวในสหรัฐฯยังตั้งองค์กร AIPAC ที่คอยล็อบบี้สภาทั้ง 2 ของสหรัฐฯในการให้การสนับสนุนอิสราเอลทั้งอาวุธและงบประมาณ แต่ตัดงบสวัสดิการคนจนในสหรัฐฯ ขบวนการไซออนิสต์ ซึ่งครอบงำอุตสาหกรรมการเงิน อุตสาหกรรมอาวุธ และพลังงาน ตลอดจนสื่อกระแสหลักจึงมีอิทธิพลเป็น Deep State ที่ควบคุมรัฐบาลได้อยู่มือ สิ่งที่น่าวิตกกังวลคือ ถ้าการสู้รบยังขยายตัวต่อไปสหรัฐฯคงต้องเข้าช่วยอิสราเอล อังกฤษก็คงทำตามตลอดจนยุโรปภาคีนาโต ด้านอิหร่านก็คงหนุนปาเลสไตน์ และรัสเซียจีนก็หนุนอิหร่านและปาเลสไตน์ อย่างนี้สงครามก็คงขยายตัวไม่ว่าจะเป็นแบบตัวแทนหรือเปิดหน้า ซึ่งมีโอกาสกลายเป็นสงครามใหญ่ได้ ถ้าปัญหาปาเลสไตน์ไม่ได้รับการแก้ไขด้วยความยุติธรรมและความเป็นจริง ไม่ใช่การแสดงมายาคติ และวาทกรรม เพราะผลสุดท้ายจะเดือดร้อนไปทั้งโลก