วันที่ 11 พ.ค.64 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความ เรื่อง “มวยวัคซีน”เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า...“ช่วงนี้มีมวยให้ดูหลายคู่ ทั้งมวยนักร้องชกกันเอง และมวย ส.ส. กับหมอ ซัดกันให้ดูต่อหน้า ฉะกันแบบไม่มีเกรงใจแต่มวยคู่ไหน หรือจะสู้ “มวยวัคซีน” ที่ท่านนายกฯ ถูกรุมชกซ้ายขวาจากประชาชนมาลองฟังผมพากย์มวย ตอน “นายกฯโดนยำ”
ช่วงนี้ อาการนายกฯ ไม่ค่อยดี การ์ดตก รำป้อแป้อยู่กลางเวที ถึงขนาดต้องให้เด็กข้างเวทีมาช่วยเอาผ้าพัดหยอดน้ำกันทีเดียวยกแรกระฆังดังโควิดแพร่ระบาดปีที่แล้ว คลัสเตอร์สนามมวย ท่านนายกฯ บอกจะเอาวัคซีน “แอสตราเซเนกา” ที่ผลิตได้เองในอนาคตกลางปี 64 ฉีดให้คนไทย 26 ล้านโดสแค่หยั่งเชิงยกแรก ยังเย็นใจอยู่ คิดว่าคุมเกมโควิดได้สบายมาก
ตอนพักยก หมอสนามมวยดูทรงแล้วถึงกับป่าวประกาศก้องว่า “โควิด มันกระจอก”แต่นรกมาเยือนเมื่อระฆังยกสองดังก่อนสิ้นปีเจอโควิดระบาดแรงงานเถื่อน ตามด้วยบ่อนระยองมาติดๆ
นายกฯ เริ่มทรงไม่สวย แต่ยังออกตัวว่ามันแค่ “ยกใหม่” ไม่ใช่ “ยกสอง”คนดูเริ่ม งง ว่านายกฯ ชัก “ก่งก๊ง” เดินเข้ามุมตัวเองยังไม่ถูก เที่ยวนี้ นายกฯ สั่งเพิ่มวัคซีนทิพย์ จาก 26 ล้านโดส เป็น 61 ล้านโดส
ที่ว่าวัคซีนทิพย์เพราะยังไม่มีของ กว่าจะผลิตส่งวัคซีนได้ไปกลางปี 64 เดือนมิถุนายนโน่น
“คนไทยรอวัคซีนไปก่อน แต่โควิดมันxxxไม่รอ”จึงจำเป็นต้องพึ่ง “ยาจีน” วัคซีนสูตรเสินเจิ้น ฉีดแล้วได้โปรประสิทธิภาพเสี่ยงโชค 50:50 จำนวน 2 ล้านโดส ยี่ห้อ “ซิโนแวค” ที่เจ้าสัวใหญ่มีหุ้นอยู่อย่างเร่งด่วนเพื่อเอามาฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง และบุคคลากรทางการแพทย์ โดยรำมวยว่าจะ “ฉีดโชว์” วัคซีนจีนยี่ห้อ “ซิโนแวค”แต่ท้ายสุดไม่กล้าฉีด บอกว่าอายุเกิน 60 ปีแล้ว ขอรอวัคซีน “แอสตราเซเนกา” ดีกว่าส่วนใครไม่ถึง 60 ปี ก็ฉีดไปก่อนแล้วกัน แต่นายกฯ ไม่ฉีดนะ
ก่อนหน้านั้น วัคซีนอย่าง “ไฟเซอร์” และ “โมเดอร์นา” จากอเมริกาขึ้นมาอยู่อันดับแชมป์โลก ส่วนวัคซีนยี่ห้อ “แอสตราเซเนกา” จากอ็อกซ์ฟอร์ดอันดับแชมป์ยุโรป ทุกประเทศล้วนซื้อแล้วฉีดเลย ไม่ร้องรำทำเพลง มัวแต่เป่าปี่ตีกลองรำมวยไทย ที่คิดการณ์ไกลจะให้โรงงานยาของไทยผลิตเอง เลยต้องร้องเพลงรอไปก่อน
ประเทศอื่นแห่จองซื้อกันจ้าละหวั่น ถึงขนาดนายกฯ ประธานาธิบดีทุกประเทศไปเจรจากับประธานบริษัทยาไฟเซอร์โดยตรงเพราะรัฐบาลเขาฉลาด หยั่งทางมวยแล้วรู้ว่าของขาดแน่ ผลิตไม่ทัน ใครจองก่อนได้ก่อน ไม่รีรอ สั่งซื้อของดี ได้เร็วดีกว่าไปนั่งรำมวยรอผลิตเองแบบนายกฯ ไทยแลนด์แดนสไมล์ ที่ยังนั่งยันนอนยันจะใช้วัคซีนสองยี่ห้อนี้เท่านั้น คือแอสตราเซเนกาที่ยังไม่มีให้ฉีด และซิโนแวคที่ประสิทธิภาพ 50:50 ไม่สนใจยี่ห้อระดับแชมป์โลก อย่าง ไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา แต่อย่างใดแต่พอขึ้นยกสามเท่านั้นเอง
การแพร่ระบาดโควิดที่ “ทองหล่อ” เป็นคลัสเตอร์ใหญ่ที่รุนแรงที่สุด โชยมาตอนต้นเดือนเมษา และด้วยความซื่อบื้อของรัฐที่ไม่ยอมปิด “ล็อคดาวน์” ช่วงสงกรานต์ ปล่อยให้ชาวบ้านเดินทางข้ามจังหวัดไปทั่วเหนือจรดใต้
ฟอร์มมวยเรียกว่า นายกฯ ถูกยำ ต้อนเข้ามุมอับ โควิดจ้วงซ้ายจ้วงขวา แพร่ระบาดที่นั่นโผล่ที่นี่เป็นว่าเล่น ตัวเลขผู้ติดเชื้อและคนตายรายวันโดดพุ่งปู้ด เตียงไอซียูเต็ม โรงพยาบาลสนามผุด หมอพยาบาลวุ่น จังหวัดโน้น จังหวัดนี้ ชุมชนโน้น ชุมชนนี้ ระบาดกันถึงใจ แถมหลายสายพันธุ์ ตะบี้ตะบันมาไม่หยุดยั้ง
นายกฯ เบ้ปาก หน้าตาบูดเบี้ยว ร้องเสียงหลงกลางเวทีมวยเฉพาะกิจ สั่งเพิ่มจำนวนวัคซีนทิพย์เป็น 100 ล้านโดส และสาบานว่าจะฉีดให้เสร็จภายในสิ้นปี 64 นี้คำนวณแล้วต้องฉีด 300,000 โดสต่อวัน เริ่มดีเดย์เมื่อวัคซีนยี่ห้อ “แอสตราเซเนกา” มาส่งกลางปี เดือนมิถุนาเป็นต้นไปแต่สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น นายกฯโดนสอยคาง หมุนคว้างคว้าลมกลางอากาศ เพราะทุกอย่างเลวร้าย ชาวบ้านกระเป๋าแฟบ วัคซีนไม่มี ไร้หลักประกันสุขภาพ เตียงเต็มบ้าง รถไม่มีมารับบ้าง ปล่อยนอนรอความตายอยู่บ้าน
ที่สำคัญไร้ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เหมือนมวยไร้ชั้นเชิง ต่อยเป็นมวยวัด แถมยังไม่ฟังเสียงโห่ฮาของแฟนมวย ยืนชกสะเปะสะปะ อาการหนัก ไม่ต้องเป็นเซียนก็รู้ ดูแล้วส่ายหัวกันตั้งแต่เด็กยันแก่ เมื่อจะหมดฟอร์ม เลยหันไปสั่งวัคซีนจีนยี่ห้อเดิม “ซิโนแวค” มาอีก 6 ล้านโดส แก้ขัดไปพลางแต่เที่ยวนี้มาแปลก คนแก่เกิน 60 ปี กลับมาฉีดได้แล้ว รัฐบาลรณรงค์ว่าชนะแน่ “มาฉีดวัคซีนกันเถอะ ไม่ต้องกลัวผลข้างเคียง เพราะอัตราการตายจากโควิด สูงกว่าการตายจากฉีดวัคซีนเยอะ”
พุธโธ่! ยังชกแบบมวยวัดเหมือนเดิม ชาวบ้านร้านตลาดเขาไม่ได้กลัว “วัคซีน” แต่เขากลัว วัคซีนจีนยี่ห้อ “ซิโนแวค” ครับท่านเพราะอ่านหนังสือออก ติดตามข่าวรู้ ว่าวัคซีนตัวไหนดี ตัวไหนห่วย
“เลือกตายไม่ได้ แต่ขอเลือกยี่ห้อวัคซีนได้ก็ยังดี”
ขึ้นยกสี่ มวยวัคซีนโควิดไร้ราคาต่อรอง คนดูชักเดือดดาล นั่งทนมานาน หันมารุมสกรัมนักมวยเองดีกว่า บ้างถึงกับจะย้ายสนามมวย ย้ายประเทศกันเลยทีเดียว เพราะชกไม่สมศักดิ์ศรี แต่กรรมการก็ไม่กล้าไล่ลง
เที่ยวนี้นายกฯ เอาอีก ประกาศใหม่สดๆ ร้อนๆ เพิ่มวัคซีนทิพย์ จาก 100 ล้านโดสเป็น 150 ถึง 200 ล้านโดสโน่นเลยทีเดียว แต่ไม่มีแผนใดๆ รองรับว่า วัคซีนจำนวนมากขนาดนั้น จะให้ใครฉีด จะเกณฑ์สารพัดหมอ ไม่ว่าหมอคน หมอหมา หมอฟัน หมอเกษียณ หรือหมอนวด พยาบาล นักศึกษาแพทย์ จะช่วยตะลุยฉีดทั้งวันทั้งคืนจะพอไหม? เพราะฉีดกันถึงวันละ 500,000 โดส
จะไปฉีดที่ไหน? กระจายวัคซีนไปให้ทั่วถึงยังไง? ไหนจะต้องทำป้าย ป่าวประกาศติดไว้อีกว่า “วัคซีนของนายกฯ โดย ส.ส. คนไหน” ใส่ชื่อกันยาวเหยียด อวดบารมี ทั้งๆ ที่เป็นภาษีของประชาชนเอง
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นแผนที่ต้องวางกันไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่ฉีดได้หมด ไม่ต้องถามอะไร ฉีดเสร็จกลับบ้านได้
แต่วัคซีนโควิด ต้องมีตรวจเช็คน้ำหนัก ส่วนสูง ความดัน โรคประจำตัว ฉีดแล้วยังต้องนั่งรอผลอาการข้างเคียงอีก 30 นาที แล้วนัดมาฉีดอีกเข็ม ไม่ใช่มวยหมูๆ นะครับ หากให้เซียนมวยอย่างผมสรุป
รัฐทำทียึกยัก และแบ่งเกณฑ์ให้ยุ่งยากตามสไตล์ราชการไทยว่า วัคซีนมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่
ประเภทแรก “วัคซีนที่รัฐจัดให้” กันไว้มีแค่ 2 ยี่ห้อ คือ ซิโนแวค และแอสตราเซเนกา เท่านั้น และประเภทที่สอง เรียกว่า “วัคซีนทางเลือก” ได้แก่สารพัดยี่ห้อนอกเหนือจากนี้
โรงพยาบาลเอกชนซื้อวัคซีนในขณะนี้ได้ทุกยี่ห้อ แต่ต้องไม่อยู่ในรายการวัคซีนที่รัฐจัดให้ และต้องซื้อผ่านรัฐ โดยองค์กรเภสัชกรรมเท่านั้น หากซื้อผ่านรัฐมันต้องแพงแท้แน่นอน ไหนจะค่าภาษี ค่าดำเนินการสารพัด บวกเพิ่มเข้าไปอีก และที่ยิ่งกว่า “เรียกผีมาโม่แป้งได้” คือ ระบบเงินทอน ค่าน้ำมัน ค่าใต้โต๊ะ หรือจะเรียกว่า ค่าสินน้ำใจ ก็ไม่ผิดกติกา อ่านเกมมวยที่รัฐวางไว้ คือ กั๊กวัคซีน ไฟเซอร์ ทำเป็นก้ำๆ กึ่งๆ เพื่อเป็นตัวช่วยถ่วงเวลา ยังไม่รู้เอาเข้าประเภทไหน? จะเข้า “วัคซีนที่รัฐจัดให้” หรือ “วัคซีนทางเลือก“ ดี
ทั้งๆ ที่อยู่ในภาวะวิกฤต การตัดสินใจยังไม่ยอมสะเด็ดน้ำเสียที มันไปติดลำคอลูกกระเดือกใครอยู่หรือครับ? ประชาชนคนทั้งประเทศเฝ้ารอวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีกว่า มันผิดไหมครับ หรือเป็นเพราะความจนจึงไม่มีสิทธิเลือก รัฐต้องเลือกให้เอง?
หากไม่เอา “วัคซีนที่รัฐจัดให้” และอยากได้ “วัคซีนทางเลือก” ก็ต้องเสียสตางค์คำตอบชัดๆ แค่นั้น ไม่ต้องอารัมภบท เพราะคนติดคนตายมีทุกวัน จะให้รอไปหาสวรรค์วิมานไหนหรือ?
หรือจะให้เรียกสั้นๆ ว่า “วัคซีนคนจน” (วัคซีนที่รัฐจัดให้) กับ “วัคซีนคนรวย” (วัคซีนทางเลือก) ก็ได้
จะได้รู้กันไปเลยว่า ความเหลื่อมล้ำของสังคมอันโหดร้ายได้แทรกเข้าไปถึงเรื่องวัคซีนโควิดด้วย คนจนได้ยาอย่าง คนรวยได้ยาอีกอย่าง เห็นกันทั่วไปเวลาไปหาหมอตามโรงพยาบาลที่ใช้ระบบ “ประกันสุขภาพ” เปี๊ยบ แต่ไม่นึกว่ารัฐคิดจะทำกับเรื่องวัคซีนโควิด ทำเรื่องง่ายเป็นเรื่องยากได้โดยบัดดล เพราะผลประโยชน์อันมหาศาลวงการยา และการเมือง
ประเทศอื่นเขาไม่คิดมาก เอาของดี ราคาไม่ได้ต่างกันมาก นำมาฉีดให้คนของเขาก่อน แต่ประเทศไทย นายกฯ ไม่ทันเกมมวยโควิดเลยโดนขย้ำเสียฟอร์ม ถูกน็อคซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประเทศไหนในโลกที่แบ่งยี่ห้อวัคซีนฉีดให้คนแต่ละชนชั้นอย่างนี้ได้ครับ? มันช่างอำมหิตเกินไปแต่ยอมๆ ฉีดไปเถอะ ถึงแม้ของห่วยแต่ยังดีกว่าไม่ได้ฉีดแค่นี้คนดูก็รู้แล้วว่า เป็น “มวยล้มต้มคนดู”