วันที่ 11 พ.ค.64 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. ขอเรียนชี้แจงถึงกรณีที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย(FCCT) ออกแถลงการณ์เรียกร้องเกี่ยวกับการจับกุมชาวเมียนมาที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 พ.ค. 64 ดังนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 พ.ค. 64 เวลาประมาณ 14.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สันทราย จ.เชียงใหม่ ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่กรณีได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.สันทราย จว.เชียงใหม่ ว่ามีกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งมีลักษณะคล้ายบุคคลต่างด้าวเข้ามาอาศัยภายในหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สันทราย จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง จึงเข้าไปตรวจสอบบ้านหลังที่ได้รับการร้องเรียน พบผู้อยู่อาศัยเป็นชาวเมียนมาจำนวน 5 คน จากการตรวจสอบพบว่าทั้ง 5 คน มีหนังสือเดินทาง แต่ไม่มีการประทับตรวจลงตราจากเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จากการสอบปากคำเบื้องต้น รับสารภาพว่าได้หลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติจริง ไม่ได้ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่ถูกต้องแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายโดยควบคุมตัว นำส่งพนักงานสอบสวน แจ้งข้อกล่าวหา จัดให้มีการตรวจโรค Covid -19 ตามขั้นตอนที่ทางสาธารณสุขกำหนดไว้ และดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้ต้องหาไปฟ้องต่อศาลแขวงเชียงใหม่ เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (11 พ.ค.64) แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธในชั้นศาล พนักงานสอบสวนจึงต้องรับตัวผู้ต้องหากลับมาเพื่อทำการผัดฟ้องต่อศาล และจะดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสรุปสำนวนการสอบสวนให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วันตามขั้นตอนของการสอบสวน สำหรับประเด็นการดำเนินคดีและการผลักดันผู้ต้องหาออกนอกราชอาณาจักรที่มีการเรียกร้องโดยสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องนับตั้งแต่มีการควบคุมตัวผู้ต้องหาและการนำตัวผู้ต้องหาไปส่งฟ้องต่อศาลแขวงเชียงใหม่ สำหรับการผลักดันผู้ต้องหาออกนอกราชอาณาจักรนั้น โดยปกติจะดำเนินการภายหลังจากเมื่อกระบวนการพิจารณาของศาลเสร็จสิ้นโดยเป็นขั้นตอนการดำเนินการตาม พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องพิจารณาและประเมินจากหลายๆ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาผลักดันออกนอกราชอาณาจักรตามกระบวนการของกฎหมาย ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ได้มีการพิจารณาในประเด็นเรื่องการผลักดันออกนอกราชอาณาจักรแต่อย่างใด