เปิดประสบการณ์ตรงจากคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศอินเดีย และต้องกลายเป็นผู้ป่วยโควิด-19 และสถานการณ์ระบาดที่หนักหนามากของอินเดีย ณ เวลานี้ ทำให้ต้องมีการปรับวิธีการดูแลผู้ป่วย ให้อยู่บ้านและมีระบบการดูแลที่น่าสนใจ โดย สมาชิกเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า Tammy P R ได้โพสต์ประสบการณ์ตรง ระบุว่า... ภัทรกมล คน(เคย)ติดโควิดที่อินเดีย ?? !!! . ใช่แล้วค่ะ อิฉันผู้ซึ่งอยู่แต่ในบ้าน ใส่หน้ากาก พกสเปรย์ คิดมาเสมอว่าโควิดมันไกลตัว!! แต่ในวันนี้อิฉันเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเทรนด์ระดับโลกครั้งนี้ ที่อินเดียเรียบร้อยแล้วค่ะ หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความวิตกกังวล จนจะกลายเป็นวิตกจริตมาแล้วนั้น วันนี้เลยจะมาแชร์ประสบการณ์ อาการ การรักษา ที่อินเดียในภาวะที่เกิดวิกฤตและการล็อคดาวน์กันจ้า ----- *สรุปอาการที่เป็นทั้งหมด* เจ็บคอ ไอ และจมูกไม่ได้กลิ่น 4 วัน โชคดีที่มีไข้ต่ำ ๆ ประมาณ 38 องศาอยู่แค่ครั้งเดียว ไม่มีอาการเมื่อยเนื้อตัว ไม่มีอาการหายใจลำบาก ----- *สรุปการรักษา* รักษาตัวที่บ้านด้วย อยู่คนเดียว ทานยาและพ่นยา ตามแพทย์สั่ง ยาชุดแรก 5 วัน ยาชุดที่สอง 7 วัน โดยมีบริการ Covid Home Care Service ที่สามารถปรึกษาหมอได้ตลอด หมั่นวัดค่าออกซิเจนและอุณหภูมิทุกชั่วโมง เพื่อประเมินตัวเอง ตลอดระยะเวลา ที่มีอาการ ให้ดื่มน้ำอุ่นค่อนร้อน ดื่มน้ำอย่างต่ำวันละ 3 ลิตร กลั้วคอด้วยเบตาดีน (สำหรับกลั้วคอ) ทุก 4 ชม. เพื่อป้องกันเชื้อลงปอด พักผ่อนให้เยอะพร้อมนอนคว่ำเพื่อไม่ให้หัวใจทับปอด และทำให้ปอดรับออกซิเจนให้ได้มากที่สุด หลังจากทานยาครบ 7 วัน หมอให้ไปตรวจ X-ray ปอด ตรวจเลือด CBC และ CRP เพื่อประเมินผลหลังรับยารอบที่ 1 จากนั้นหลังรับยาครบโดส 5 วัน ให้ไปตรวจสุขภาพอีกครั้ง ----- *อาการ ณ ปัจจุบัน* ยังคงมีไอนิดหน่อย หมอยังคงให้ทานวิตามิน C + D3 + Zinc ต่อเนื่องไปอีก 2 อาทิตย์ เพื่อบำรุงร่างกาย ----- *จุดเริ่มต้นของโควิด* เริ่มต้นจากตั้มจำเป็นต้องออกไปร่วมงานสำคัญของเพื่อนมาแล้วดันมารู้ข่าวว่าเพื่อนอีกคนที่เราเพิ่งเจอตรวจโควิดออกมาเป็นบวก โดยก่อนหน้านี้ตั้มเองซุ่มซ่ามไปเปียกฝนแล้วมีอาการเจ็บคอ ไม่มีไข้ ไม่ไอ ใด ๆ มาก่อนแล้วค่ะ . ตั้มเลยไม่รอช้า รีบไปหาหมอที่โรงพยาบาล บอกหมอว่าสงสัยว่าจะติดโควิด หมอก็บอกให้ใจเย็น ๆ กลับไปกักตัวอยู่ที่บ้าน เดี๋ยวจะส่งคนจากแลปให้ไปตรวจโควิดให้ที่บ้าน ถ้ารู้ผลว่าติดจริงค่อยมาว่ากัน สนนราคาตรวจโควิดที่บ้าน 1400 รูปี (ประมาณ 600 บาท) ในวันที่ 18 เมษาช่วงเย็นค่ะ . พอวันที่ 19 เมษาช่วงเย็น อยู่ ๆ ก็เกิดรู้สึกว่าจมูกไม่ได้กลิ่นค่ะ สิ่งแรกที่ใช้พิสูจน์เพื่อความแน่ใจคือ "น้ำปลา และ น้ำยาเดทตอล" และนี่คือการเปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิต ที่เข้าใจเลยว่าจมูกดับแล้วไม่ได้กลิ่นสิ่งใดเลยมันเป็นยังไง จากนั้นไม่นานแลปก็ส่งผลตรวจมาให้ทาง whatsapp ผลออกมาตามคาดว่า POSITIVE for SARS Cov-2 ณ จุดนั้น พูดได้เลยว่า "ไห้แตกไห้แตน" โทรไปร้องห่มร้องไห้กับที่บ้าน กังวลจนนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะอยู่ตัวคนเดียว ซึ่งเอาตรง ๆ ว่าอาการก็ยังไม่มีอะไรมากนอกจากเจ็บคอ (ที่ใกล้หายมากแล้ว) ไอนิดหน่อย และจมูกดับ!!! วันที่ 20 เมษาแต่เช้าตรู่ ตั้มโทรหาโรงพยาบาลค่ะ โทรไปถามว่าเราสามารถไปโรงพยาบาลพบหมอได้ไหม เพราะผลตรวจว่าเราติดโควิดแล้ว ที่ต้องโทรไปถามเพราะไม่รู้วิถีปฏิบัติของที่อินเดียว่า ถ้าติดแล้วเราต้องรออยู่ที่บ้านเท่านั้น จนกว่าจะมีคนมารับเราเหมือนที่เมืองไทยหรือเปล่า แต่สิ่งที่พยาบาลตอบกลับมาคือ "มาสิ ทำไมจะมาไม่ได้ เป็นหนักเหรอ ต้องการรถฉุกเฉินหรือเปล่า" พอฟังดังนั้นก็อาบน้ำ อาบท่า ใส่หน้ากากสองชั้น แบบ surgical mask + N95 (พยาบาลแนะนำมา) แล้วก็ขับรถพาตัวเองออกไปโรงพยาบาล . พอไปถึงโรงพยาบาล หมอก็ให้วัดความดัน วัดไข้ วัดออกซิเจน และเอกซเรย์ปอด ผลออกมาทุกอย่างโอเคหมด แต่ภาพเอกซเรย์ปอดแสดงว่ามีการอักเสบนิดหน่อย หมอก็จ่ายยามาให้สำหรับ 5 วัน แล้วหมอบอกว่าที่โรงพยาบาล กำลังจะเริ่มบริการ Covid Home Care Service คือจะมีพยาบาลโทรถามอาการสามเวลา หมอวีดีโอคุยกับเราทุกวัน พร้อมทั้งนักโภชนาการโทรมาให้คำปรึกษาเรื่องอาหาร แต่ตอนนั้นยังไม่เริ่มบริการ หมอเลยให้เบอร์ส่วนตัวมาแทน บอกว่ามีไรฉุกเฉินก็วอทแอพมาจ้า (จริง ๆ มีบริการนี้จากหลายโรงพยาบาลมากนะคะ แต่เราเลือกโรงพยาบาลที่ไปหาหมอ เพราะพอรู้จักกับหมอเป็นทุนเดิมค่ะ) . หลังจากหมอให้ prescription มาแล้ว ปฏิบัติการช๊อปปิ้งของจนจิตตกก็เริ่มขึ้นค่ะ นอกจากยาที่ต้องซื้อแล้ว ก็ประกอบด้วย digital thermometer (ซึ่งที่บ้านมีอยู่แล้ว แต่ถ่านหมด การแก้ปัญหาคือซื้อใหม่มันไปเลยจ้า) Oximeter เครื่องวัดออกซิเจน Nebulizer เครื่องพ่นยา Inhaler Steamer เครื่องพ่นไอน้ำ พร้อมด้วยออกซิเจนกระป๋อง (ซื้อมาเผื่อไว้ สำหรับคนจิตตกแบบข้าพเจ้า 555) และเครื่องฟอกอากาศแบบฆ่าไวรัสได้ สั่งจากอเมซอนมาเลยจ้า . จากนั้นก็กลับมากักตัวต่อที่บ้าน วัดออกซิเจนและไข้ทุกชั่วโมง แต่ทุกอย่างก็ปกติดี . ผ่านไป 2 วัน หมอก็วอทแอพมาบอกว่า โรงพยาบาลเริ่มบริการ Home care service แล้ว สนนราคา 7 วัน 4499 รูปี (ประมาณ 2000 บาท) และ 14 วัน 10499 รูปี (ประมาณ 4500 บาท) ซึ่งแบบ 14 วันจะมีแถมถุงมือ หน้ากาก และ thermometer ตั้มก็เลยเลือกแบบ 7 วันไปก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยต่อบริการทีหลัง . ตอนนั้นความจิตตกยังมีอยู่บ้าง กลัวว่าเราจะเป็นหนัก กลัวหายใจไม่ออก หมอก็แนะนำว่า นอกจากการทานยาแล้ว เราจะต้องทานแต่น้ำอุ่นค่อนร้อนเท่านั้น และให้นอนคว่ำเพื่อให้ปอดทำงานและรับออกซิเจนให้เต็มที่ แล้วทีนี้ ตั้มซึ่งไม่เคยนอนคว่ำมาก่อน เพราะรู้สึกว่ามันหายใจไม่ออก ก็เกิดภาวะ Panic ขั้นสุด หลังจากนอนหลับในคืนวันที่ 22 เมษา อยู่ ๆ ก็สะดุ้งตื่นแล้วรู้สึกว่าตัวเองหยุดหายใจ ร่างกายไม่ยอมหายใจเองอัตโนมัติ วิตกไปหมดค่ะ แต่วัดไข้ก็ปกติ วัดออกซิเจนก็ 97-98 ตลอด จนนอนไม่ได้ ต้องลุกมานั่งดูยูทูปจนเช้า พอเล่าให้หมอฟัง หมอก็บอกว่าเราแพนิคมากไป คิดมากไป จริง ๆ ไม่มีอะไรน่ากังวลเลย เพราะวัดค่าทุกอย่างออกมาปกติมาก แล้วหลังจากนั้นอาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ หายเจ็บคอ จมูกกลับมาได้กลิ่น ไอน้อยลง จนไปตรวจอีกครั้งได้ผลออกมาเป็นลบจ้า . คิดไว้อยู่ว่าอีกสัก 1 อาทิตย์จะเรียกเค้ามาตรวจหาค่า Antibody สักหน่อย . ท้ายนี้ขอขอบคุณทุกความห่วงใยจากครอบครัว เพื่อนสนิทมิตรสหายทุกท่านที่ส่งทั้งข้อความและโทรมาให้กำลังใจนะคะ โดยเฉพาะพี่เชอรี่ Cherry Utsanee ที่ส่งทั้งต้มยำ จับฉ่าย และไก่สดมาตุนเสบียงให้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ . แทมมี่ ณ บังกาลอร์ 06-May-2021