คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
ยามใดก็ตามที่สังคมเกิดวิกฤติร้ายแรง ประชาชนก็มักหิวกระหายต้องการอยากจะได้ผู้นำที่มีความเข้มแข็งกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีประสบการณ์สูง และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
จะเห็นได้ค่อนข้างเด่นชัดเลยว่าในยุคสมัยของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั้น สหรัฐอเมริกาเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ สังคมมีความแตกแยกในวงกว้างแถมยังมีโรคโควิด19 ระบาดอย่างรุนแรง ทำให้การเลือกตั้งในสมัยที่สองของเขามีนักการเมืองค่ายพรรคเดโมแครตถึง 29 คนประกาศลงสมัครเป็นตัวแทนของพรรค
โดยโจ ไบเดน ก็ได้ตัดสินใจลงแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนของพรรคด้วยเช่นกัน และถึงแม้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สามของเขาก็ตาม แต่อาจจะมาจากสวรรค์สั่งให้ฟ้าเปิด จึงมีผลทำให้การลงแข่งขันเลือกตั้งในครั้งที่สามเมื่อปี 2019 นำพาให้เขาได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตและได้รับชัยชนะเข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา และดูเหมือนว่าขณะนี้เขากำลังเร่งผ่าตัดพลิกโฉมหน้าให้สหรัฐอเมริกาได้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนดั้งเดิม!!!
ทั้งนี้การเก็บเกี่ยวสั่งสมคะแนนนิยมในความสำเร็จของการทำงานในช่วงสั้นๆเพียงแค่ 100 วันของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นไปอย่างงดงาม โดยเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2021 เขาได้กล่าวสุนทรพจน์เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ณ สภาคองเกรส
แต่ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีโอกาสกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสในฐานะประธานาธิบดีของสหรัฐฯได้นั้น เขาต้องเฝ้ารอมานานเกือบห้าสิบปี
ในการกล่าวสุนทรพจน์วันนั้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้พูดถึงความสำเร็จต่างๆอาทิ คนอเมริกันได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วถึง 200 ล้านโดสจากที่เคยตั้งเป้าไว้เพียง 100 ล้านโดสในระยะเพียง 92 วัน
ส่วนด้านการแก้ไขปัญหาเศรษกิจที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทำควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาโควิด19 นั้น ส่งผลให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯมีการเติบโตเพิ่มสูงขึ้น สืบเนื่องมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านเหรียญ โดยที่ประธานาธิบดีไบเดนมิได้รับเสียงสนับสนุนจากนักการเมืองของพรรครีพับลิกันเลยแม้แต่เสียงเดียว แต่เนื่องจากเขามีความกล้าหาญจึงตัดสินใจฉายเดี่ยวจนสามารถผนึกพลังนักการเมืองในค่ายพรรคเดโมแครตทำให้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านเหรียญที่คนอเมริกันเฝ้ารอคอยผ่านไปจนได้
และจากรายงานขององค์กร อีโอซีดี (Organization for Economic Co-operation and Development) ซึ่งเป็นองค์กรการร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจที่มีสมาชิกร่วมองค์กรทั้งหมด 37 ประเทศ ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2021 นี้ว่า นโนบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีส่วนทำให้ยอดจีดีพีของสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้นเป็น 6.5% ในปีนี้ จากที่เคยมีอยู่แค่ 3.2%
และในการกล่าวคำปราศรัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดนในคืนนั้นเขาก็ได้นำเสนอโครงการใหญ่สองโครงการเพิ่มเติมมาอีกนั่นก็คือโครงการพื้นฐานและโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อจะพลิกโฉมหน้าสหรัฐอเมริกาให้ก้าวไปข้างหน้า
สำหรับโครงการพื้นฐาน จะเห็นได้ว่าขณะนี้สหรัฐอเมริกาถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 13 ของโลก ดังนั้นประธานาธิบดีโจ ไบเดนต้องการปฏิรูปสหรัฐฯครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยจะลงทุน 2.3 ล้านล้านเหรียญในระยะ 8 ปี เพื่อพัฒนาระบบคมนาคมที่จะต้องเร่งซ่อมแซมสะพานที่ชำรุดสึกหรออย่างหนัก ซึ่งมีมากถึง 46,000 แห่งทั่วประเทศ ที่สะพานเหล่านี้มีผู้สัญจรผ่านไปผ่านมาถึงวันละ 178 ล้านคน รวมถึงการเร่งปฏิรูประบบพลังงาน ระบบการจัดการน้ำ ระบบการสื่อสาร ระบบกำจัดและบำบัดขยะ ระบบบำบัดน้ำเสีย เร่งจัดการแก้ไขการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รักษาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นต้น
สำหรับนโยบายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ประธานาธิบดีโจ ไบเดนเสนอให้ลงทุน 1.8 ล้านล้านเหรียญ โดยจะเชื่อมโยงไปถึงด้านการพัฒนาเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบก่อนเข้าเรียนในระดับอนุบาลหนึ่งล้านหกแสนคน รวมไปถึงนโยบายที่ต้องการจะให้นักศึกษาที่เรียนระดับอนุปริญญา (Junior College หรือ Community College) ซึ่งมี 942 แห่งทั่วสหรัฐฯโดยมีนักศึกษาราว 5.4 ล้านคน ให้ศึกษาฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ซึ่งมาตรฐานและคุณภาพของวิทยาลัยท้องถิ่นบางสถาบันก็มีระดับไม่แพ้มหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆอีกด้วย!!!
อนึ่งจากผลการสำรวจของสถานีโทรทัศน์ CBS ซึ่งเป็นหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ในวงการโทรทัศน์สหรัฐฯ ภายหลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เสร็จสิ้นลงว่า คนอเมริกันมีความชื่นชมสูงถึง 85% แต่กลับปรากฏว่าสมาชิกของค่ายพรรครีพับลิกันเห็นชอบด้วยแค่เพียง 15%
โดยสถานีโทรทัศน์ CBS ยังได้รายงานผลสำรวจต่อเนื่องไปอีกว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่เล็งเห็นว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีความกล้าหาญ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลต้องการให้สหรัฐฯก้าวต่อไปข้างหน้า และเหนือสิ่งอื่นใดนโยบายที่เขานำเสนอมานั้น ล้วนแล้วแต่มีความห่วงใยต่อชีวิตของอเมริกันชนแทบทั้งสิ้น
และถึงแม้ว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่จะเห็นพ้องกับโครงการพื้นฐานและโครงการพัฒนาทรัพยกรมนุษย์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนก็ตาม แต่กลับปรากฏว่า บรรดานักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกันที่ต้องการจะเอาใจแวดวงธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งหลายแหล่พากันออกโรงมาต่อต้าน สืบเนื่องมาจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนต้องการที่จะขึ้นภาษีนิติบุคคล (corporate tax) จาก 21% เป็น 28% เป็นเวลา 15 ปี โดยก่อนหน้านี้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลดอัตราภาษีนิติบุคคลให้กับธุรกิจยักษ์ใหญ่ลงจาก 35% ให้เหลือแค่เพียง 21%
ทั้งนี้หากพรรครีพับลิกันยังคงยืนกรานที่จะต่อต้านไม่เห็นด้วยกับโครงการพื้นฐานและโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนอาจจะต้องงัดไม้ตายฉายเดี่ยว เหมือนดังที่เขาเคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่งกับงบประมาณ 1.9 ล้านล้านเหรียญ ที่เขาได้เซ็นเป็นกฎหมายไปแล้ว เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2021 ที่เพิ่งผ่านมา
โดยขณะนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังเดินทางวิ่งรอกไปตามรัฐต่างๆเพื่อล็อบบี้ต่อประชาชนคนอเมริกัน
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเป็นที่ประจักษ์ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ในช่วงสามเดือนกว่าๆที่ผ่านมาประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้พิสูจน์ถึงความเป็นผู้นำทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดวิกฤติ รวมถึงแก้ไขปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ร้ายแรงให้ทุเลาลง และหากสภาคองเกรสจะยกมือสนับสนุนยินยอมอนุมัติตามวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนให้นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ผ่านร่างไปพร้อมๆกัน และหากฝันเกิดกลายเป็นจริงขึ้นมาละก็ นับได้ว่าสหรัฐฯมีความโชคดีที่ได้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เข้ามาเป็นกัปตันจับหางเสือนำพารัฐนาวาสหรัฐฯในช่วงที่เกิดวิกฤติหัวเลี้ยวหัวต่อให้ผ่านฉลุยไปได้ ส่วนใครจะตีความว่าเป็นเพราะวาสนาท้องฟ้าเปิดพระเจ้าดลบันดาลเหมือนดั่งที่ผมคิด ก็ไม่ว่ากันละครับ