เรื่องราวของชาวเกษตรกรที่น้อมนำพระราชดำริทฤษฎีใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้แนวทางดำเนินชีวิต โควิด–19 ไม่ใช่อุปสรรค ของโอกาสมีกินมีใช้อย่างพอเพียง นายวินัย สวัสดิ์วิเชียร เกษตรกรขยายผลของศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ จังหวัดระยอง เปิดเผยว่า จากที่ได้น้อมนำแนวพระราชดำริทฤษฎีใหม่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาใช้ด้วยการปรับสภาพพื้นที่ที่มีอยู่ปลูกพืชผักไว้กินเอง ตามแนวทางตู้เย็นรอบบ้าน ควบคู่กับการเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ขุดสระเก็บน้ำเพื่อใช้รดต้นไม้ ในสระเลี้ยงปลา กิ่งไม้ที่ตัดแต่งนำมาผลิตน้ำส้มควันไม้ ยามว่างขยายพันธุ์ไม้จำพวกพืชให้ผลเพื่อนำไปปลูกเสริมในพื้นที่ เหลือแบ่งขายให้ผู้สนใจนำไปปลูกในพื้นที่ของตนเอง พื้นที่ว่างในสวนจะปลูกกล้วยแซมด้วยพืชสมุนไพรกว่า 100 ชนิด ทุกๆ วันจันทร์จะเก็บพืชในสวนไปขายที่หน้าอำเภอปลวกแดง อาทิตย์หนึ่งมีรายได้ประมาณ 3 – 4 พันบาท พืชหลักที่นำไปขายเป็นประจำจะมีกล้วย ผักชนิดต่างๆ หน่อกระวาน พริกไทยสด หากขายไม่หมดจะนำกลับมาทำพริกไทยแห้ง เพื่อนำไปขายอีกครั้งหนึ่ง “ความรู้ในการทำการเกษตร การเพาะขยายพันธุ์พืชตลอดถึงการเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลานั้น ได้รับมาจากทางศูนย์บริการการพัฒนาปลวกแดงตามพระราชดำริ ทำการฝึกอบรมให้ ในช่วงแรกๆ ที่เข้ารับการอบรมชาวบ้านไปกันหลายคน หลังการอบรมเสร็จทางศูนย์ได้มอบปัจจัยการผลิตพื้นฐานให้ เช่น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ นำมาขยายผลในพื้นที่ของตนเองจนสามารถยืนอยู่ได้ในทุกวันนี้ และผู้เข้ารับการอบรมแทบทั้งหมดจะน้อมนำแนวทางนี้ไปดำเนินชีวิต ทำให้มีกินมีใช้ทุกวัน แถมยังมีเงินเก็บจากการนำผลผลิตออกขายเป็นรายได้เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัว แม้ในช่วงที่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ไม่สามารถออกจากบ้านได้เนื่องจากต้องระวังการระบาดของโรค ก็ไม่เป็นปัญหา ทุกคนยังมีกินมีใช้ไม่ขัดสน” นายวินัยกล่าว ทั้งบอกอีกว่า ได้นำความรู้จากการฝึกอบรมศูนย์ฯ มาทำการขยายผลจนเกิดรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ นอกจากจะไม่ต้องเพิ่มทุนในการหาพันธุ์ไม้มาปลูก โดยเฉพาะการเพาะขยายพันธุ์มะนาวและพริกไทย จะใช้วิธีนำวัสดุเหลือใช้จากครัวเรือนมาเป็นวัสดุการผลิต ด้วยการนำขวดน้ำที่ใช้แล้วมาตัดออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งใส่ดินปลูก ซึ่งดินปลูกจะผลิตเองด้วยการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาเผาให้เกิดขี้เถ้าผสมดิน ขุยมะพร้าวและปุ๋ยหมักคลุกเคล้าให้เข้ากันเอามาใส่ในขวดน้ำที่ตัดแล้ว จากนั้นนำกิ่งพันธุ์พริกและมะนาวด้วยการเลือกเอายอดที่ใบแก่หน่อยมาปักชำ นำขวดน้ำอีกท่อนหนึ่งครอบลงไปเอายางรัดไว้ไม่ให้โดนลม ตั้งไว้ในที่ร่ม ประมาณ 35 – 40 วัน ไม่ต้องรดน้ำ รากก็จะงอกออกมา ซึ่งในทางวิชาการเกษตรเรียกว่าการเพาะชำแบบควบแน่น เมื่อรากงอกออกมาเต็มแก้วจึงเปิดฝาครอบดึงออกมาชำในภาชนะ ช่วงนี้ให้เจอแสงแดดแบบรำไร ประมาณ 1 อาทิตย์ จึงนำเอาไปปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ได้เลย หากมีมากก็นำออกจำหน่าย สร้างรายได้อีกทางหนึ่ง “แนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 หาคนไหนเทียบไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีใครคนไหนที่จะมองเห็นประชาชน คนเดินดิน เราสามารถนำแนวทางที่พระองค์พระราชทานให้มาต่อยอดได้เลย ไม่ต้องคิดและลองผิดลองถูกให้เสียเวลากันอีก เมื่อเราทำตามแนวพระราชดำริของพระองค์ท่าน จะอยู่ได้สบาย ไม่มีการจน ไม่เจ็บไข้ เพราะเรากินผักและผักเป็นยา มีการรวมกลุ่มกัน ชวนกันทำ ร่วมกันผลิต ในหมู่บ้านเมื่อก่อนไม่มีมะนาวกินต้องหาซื้อมาจากตลาดบางปีแพงมาก หลังจากเข้าอบรมจากศูนย์ฯ ก็นำมาทำที่บ้าน ทุกวันนี้มีมะนาวกันทุกครัวเรือน ไม่ต้องซื้อกินแถมยังมีขายอีกต่างหาก รู้สึกดีใจที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอดของโครงการของรัชกาลที่ 9 จะทำการเพิ่มเติมทักษะและความรู้ของเกษตรกรมีการต่อยอดเพิ่มมากขึ้น รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงเมตตาต่อราษฎร เป็นอย่างยิ่ง” นายวินัย สวัสดิ์วิเชียร กล่าว