วันที่ 28 เม.ย.64 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนายพิชัย นริพทะพันธ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทวีตข้อความ เชิงกล่าวหานายกรัฐมนตรี ว่ารวบอำนาจบ้าง ทำงานไม่สำเร็จบ้าง ต่างๆ นานา ตนเองเห็นว่านายพิชัย น่าจะเปิดใจให้กว้าง ทบทวนให้ดีว่าข้อเท็จริงเป็นอย่างไร คงไม่แปลกที่นายพิชัย จะคิดไม่ทันนายกฯ ทั้งๆ ที่ตนก็เคยมีดีกรีเป็นถึงอดีตรัฐมนตรี แต่ใช้อคติในการกล่าวหาให้ร้าย ดังนั้นจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจและทักษะการบริหารงานนายกฯ แต่อย่างใด ที่ผ่านมา แม้นายกฯ จะเป็นทั้ง รมว.กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก็สามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการบริหารคนดี ให้โอกาสคนเก่ง ได้ทำงานเพื่อส่วนรวม และบริหารทรัพยากรของประเทศให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เคารพกฎหมาย ดังเช่นการแก้ปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ก็ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด ช่วยให้คนไทยอยู่รอดปลอดภัยกว่าชาติไหนๆ มากมายทั่วโลก สำหรับการโอนอำนาจรัฐมนตรีให้นายกฯ ครั้งนี้ ถ้านายพิชัย มีความรู้และทักษะในการบริหารราชการแผ่นดินจริง ก็ไม่น่าจะมาตั้งคำถามในลักษณะคนไม่มีสมอง ทำงานตามคำสั่งอย่างเดียวแบบนี้ ตนเองขออธิบายให้ฟังคร่าวๆ ว่า การบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ ทุกคนเข้าใจดีว่าต้องการความคล่องตัวในการบริหารงาน เพื่อตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรค และการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างทันท่วงที ดังนั้นการบูรณาการหน่วยงานและกฎหมายจึงมีความจำเป็นอย่างมาก ซึ่งการโอนอำนาจตามกฎหมายมายังนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เพิ่งทำ แต่ทำตั้งแต่แรกแล้ว และก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตโควิดมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งนี้ น่าจะเรียกว่าเป็นการคืนอำนาจกลับไปยังรัฐมนตรี เพราะได้ปรับลดกฎหมายที่เคยโอนมาแล้ว 40 ฉบับ ให้เหลือ 31 ฉบับ เพราะบางเรื่องก็หมดความจำเป็น แต่บางเรื่องเป็นความจำเป็นเกิดขึ้นใหม่ เช่น กฎหมายที่เกี่ยวกับวัคซีน นอกจากนี้ ซึ่งถ้าไปดูรายละเอียดอย่างผู้รู้ และเป็นธรรมแล้ว จะรู้ได้ทันทีว่า เป็นการขจัดความขัดแย้งของกฎหมายหลายฉบับ และรักษาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยสามารถนำมาพิจารณาในภาพรวมได้ภายใต้ ศบค. อย่างไรก็ตาม เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเท่านั้น เพื่อให้การสั่งการ แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงฟื้นฟูช่วยเหลือ มีความคล่องตัวและทันต่อสถานการณ์ ซึ่งโฆษกรัฐบาลก็ได้ชี้แจงไปแล้ว ว่ารัฐมนตรียังมีอำนาจอยู่ ยกเว้นบางเรื่องที่นายกรัฐมนตรีสั่งการได้ จากเดิมที่จะต้องผ่านรัฐมนตรี​ ซึ่งไม่ใช่เป็นการไปยึดอำนาจจากรัฐมนตรีมาทั้งหมด แต่เป็นการเสริมอำนาจให้นายกฯ สั่งการได้โดยตรงมากกว่า อีกทั้งรองนายกฯจุรินทร์ ได้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องที่ได้มีการดำเนินการมาต่อเนื่องตั้งแต่เกิดปัญหาโควิด และถือเป็นคำสั่งที่ปรับปรุงแก้ไขคำสั่งเดิมที่มีอยู่แล้ว เท่านั้นเอง นายเสกสกล ระบุว่าก่อนที่จะออกมา กล่าวหา โจมตีนายกฯ และรัฐบาล ขอให้นายพิชัยได้พิจารณาข้อเท็จจริงให้ดีเสียก่อน ไม่ใช่ว่ามีข่าวหรือประเด็นใดออกมาก็รีบหยิบยกเอามาโจมตีนายกฯ ไม่หยุด “ทั้งนี้ก็ทราบดีว่านายพิชัย คงไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นประโยชน์ให้ทำ วันๆจึงออกมาทำแต่เรื่องไร้สาระหาเรื่องโจมตีนายกฯรายวัน ช่วยดูตัวอย่างคนอื่นๆที่เขาให้ความร่วมมือและเสนอความคิดดีๆสนับสนุนรัฐบาลและช่วยเหลือประชาชนบ้างเถอะ อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัว อย่าทำตัวแก่เพราะอยู่นาน หาคุณค่าต่อประเทศประชาชนอะไรไม่ได้เลย น่าเสียดายเวลาที่เกิดมาในชาตินี้เสียจริง ไม่มีความคิดเลยว่าในภาวะวิกฤตโควิดนี้ทุกคนต้องหันมาร่วมมือกันช่วยเหลือประชาชน หยุดโจมตีใส่ร้ายทำลายขวัญกำลังใจกันเสียทีเถอะ"