วันที่ 25 เม.ย. 64 เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลปากช่องนานา นำศพชายอายุ 34 ปี ทำงานอยู่ที่นั่น ติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. 64 รักษาตัวที่ โรงพยาบาลปากช่องนานา ก่อนส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ในวันที่ 15 เม.ย.64 แต่เป็นบุคคลในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เพราะมีน้ำหนักตัวมากถึง 140 กิโลกรัม และจากการตรวจสอบไทม์ไลน์ พบว่า ช่วงวันที่ 2-5 เม.ย. 64 ยังทำงานอยู่ที่รีสอร์ต จากนั้น วันที่ 7 เม.ย.64 เดินทางไปเที่ยวที่เกาะล้าน เมืองพัทยา จ.ชลบุรี หลังจากกลับมาก็จะอยู่ที่บ้านพักตลอดและเริ่มมีอาการมาเป็นระยะ จนวันที่ 14 เม.ย.64 ได้ไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่โรงพยาบาลปากช่องนานา ตอนเที่ยงจึงกลับไปบ้านรอฟังผล วันที่ 15 เม.ย. 64 ทราบผลว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลปากช่องนานา แต่เนื่องจากมีภาวะปอดบวม จึงส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โดยทางแพทย์ได้วินิจฉัยอาการเบื้องต้นว่า เป็นปอดบวมและมีภาวะเสี่ยงจากน้ำหนักตัวมาก ซึ่งตั้งแต่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา วันที่ 15 เม.ย.64 เป็นต้นมา จากการสังเกตใกล้ชิด พบว่า อาการยังดีมาโดยตลอด ใช้ออกซิเจนทางช่องจมูก ยังไม่ถึงกับใช้เครื่องช่วยหายใจ มีไข้บ้างเป็นช่วง ๆ เอ็กซเรย์ปอดยังดี ระดับออกซิเจนไม่ตก ต่อมา มีอาการหอบบ้าง จึงได้เพิ่มระดับออกซิเจนเข้าไปในช่วงวันที่ 18-19 เม.ย.64 จากนั้น อาการปอดบวมกำเริบ เนื่องจากไวรัสลงปอดมากขึ้น วันที่ 19 เม.ย.64 เริ่มใส่เครื่องช่วยหายใจ และให้การดูแลใกล้ชิดมากขึ้นอีก และมีการให้ยาเพิ่มเติมอีกหลายตัว จนวันที่ 21 เม.ย.64 ไวรัสเริ่มกระจายกินปอดมากขึ้น จึงต้องปรับเพิ่มปริมาณยาแต่ละขนานเข้าไปอีก แต่ด้วยภาวะอ้วนทำให้มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิต เบาหวาน จึงเป็นอุปสรรคต่อการรักษา จึงเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตโควิดรายแรกของ จ.นครราชสีมา ขึ้นสู่เมรุวัดจันทึก ต.หนองสาหร่าย อ.ปากช่อง เพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจศพ เมื่อช่วงเวลา 16.00 น. วันที่ 24 เม.ย. 64 ที่ผ่านมา จนเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 23 เม.ย.64 ที่ผ่านมา ซึ่งบรรยากาศการฌาปนกิจศพ เป็นไปด้วยความเรียบง่าย ไม่มีพิธีสงฆ์ใดๆ และไม่มีแขกมาร่วมพิธี มีเพียงญาติแค่ 3-4 คน เท่านั้น ที่มายืนดูพิธีอยู่ห่างๆ ส่วนเจ้าหน้าที่ได้สวมใส่ชุด PPE ป้องกันเชื้อโรคอย่างแน่นหนา น้องชายของผู้เสียชีวิต โพสต์ในเฟซบุ๊กเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดว่า ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่ตายแบบไหน ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าพี่เลย นำศพลงจากรถ ขึ้นเมรุเผาเลย แค่ก้าวขาออกจากบ้านก็มีค่าใช้จ่ายแล้ว คนที่ไม่เป็นโควิคไม่รู้หลอกว่า มันทรมานมากแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการกักตัว การอยู่ร่วมกับคนอื่น หรือ การใช้ชีวิตประจำวัน สายตาที่คนอื่นมองว่า เราเป็นตัวเชื้อโรค บ้านผมติดโควิด คือพี่ชายที่เสียชีวิต แม่ผม ภรรยาพี่ชาย (ทำงานในตลาดปากช่อง ต้องออกจากงานด้วย) แล้วก็ลูกอีก 3 คน มีอายุ 2,4 และ 7 ขวบ ลำบากต้องโดนกักตัว ตอนนี้ทำอยู่ในการรักษา ทั้งหมดในข้างต้น แม่ผม รักษาอยู่ที่ รพ.มหาราช เนื่องจากปอดมาการติดเชื้อเล็กน้อย ส่วนภรรยาพี่ชายและหลานๆ ทั้ง 3 ได้ พักรักษาตัวอยู่ที่ รพ. (วันเผา ลูกๆกับเมีย ก็มาไม่ได้ เพราะต้องกักตัว) คนเราทุกคนไม่คิดว่าตัวเองจะติดเชื้อบ้า ๆ นี่หรอก เพราะทุกคนก็กลัวเชื้อโควิดกันอยู่แล้ว อีกอย่างผมไม่คิดด้วยบ้านผมจะเป็นคนแพร่เชื้อ เพราะที่บ้านส่วนมากจะไม่ค่อยออกไปไหนเลยหาเช้ากินค่ำ พวกเราระวังกันอยู่แล้ว ยังติดเชื้อนี้มาได้ ติดมาจากไหน ด้วยจากสาเหตุต่าง ๆ ซึ่งก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ แต่คิดว่าติดมาก่อนไปเที่ยวเกาะล้าน พัทยา (วันที่ 7 เม.ย.64) ที่ขับรถไปกับครอบครัว แฟน ลูก 3 คน และแม่ สงสัยอยู่หลายอย่าง เพราะพี่ชายเป็น รปภ. อยู่ที่โรงแรมในเขาใหญ่ ต้องเจอคนต่างถิ่นตลอด และอีกอย่างที่บ้านรับซักผ้า ไม้รู้ว่าติดมาจากคนที่ไปงานปาร์ตี้วันเกิด หรือไม่ อาการ ก่อนหน้านี้ปกติ ไม่มีอาการ อยู่กับญาติๆ ครอบครัวเหมือนเดิม จนวันที่ 14 เม.ย.64 เริ่มมีอาการไข้ เหมือนไข้หวัดปกติทั่วไป คิดว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา พอเริ่มไอมากขึ้น ไอหนัก และสุดท้ายลิ้นเริ่มไม่รู้รส จึงรีบไปหาหมอ หมอบอกติดเชื้อโควิด ผมและครอบครัว รวมทั้งพ่อ พี่ๆ น้องๆ ภายในบ้านก็ได้กักตัวกันทั้งหมด 14 วันครบ พร้อมกับไปตรวจเรียบร้อยแล้วถึง 2 ครั้ง ผลคือไม่พบเชื้อ ทางผมพร้อมรับผิดชอบต่อสังคม เนื่องจาก ครอบครัวของผมมีความเสี่ยงสูงมาก ทางเราเลยไปตรวจหาเชื้อ หลังจากนั้นก็กลับบ้านมากักตัวกันเลย อยากให้สังคมเข้าใจเรา ให้โอกาสเรา ผมสงสารลูกๆ หลานๆ ผม ต้องโดนถูกมองเป็นตัวเชื้อโรค สังคมรังเกียจ คนที่ไม่ได้เจอสถานการณ์แบบผม คงไม่รู้หรอก ว่ามันทรมานมากแค่ไหน การกักตัวมันก็น่าเบื่อพอแรงแล้ว จิตตกไปหมด ล้างมือเหมือนคนเป็นบ้า ล้างแล้ว ล้างอีก ฉีดแอลกอฮอร์ ฉีดอีก นอน กินข้าว อาบน้ำ ดูหลัง เล่นเกมส์ ทำแบบนี้ 14 วัน เดิมๆ ซ้ำๆ น่าเบื่อมาก พอรู้ว่าพี่ชายผมเสีย คือทางโรงพยาบาล ได้โทรให้เราไปรับศพแล้วไปทำพิธีได้เลย ทาง รพ.ได้นำศพห่ออย่างดี 3 ชั้น ด้วยถุงปลอดเชื้อ ผมสติหลุด คิดอะไรไม่ออก จะเอายังไง เอกสารจะเตรียมยังไง ไปกี่โมง ต้องเดินเรื่องยังไง พิธีศพ ต้องทำยังไง โลงต้องแบบไหน ราคา เท่าไหร่ แล้วเงินที่จะต้องทำศพหาที่ไหน เพราะการทำศพ มีค่าใช่จ่ายทุกอย่าง 1. รพ.ให้ญาติหารถมารับศพ พร้อมวัดที่จะทำการเผาเองแต่ ไม่มีวัดไหนรับเลย เลยนึกขึ้นได้ เคยบวชอยู่วัดจันทึก มีพระพี่เลี้ยง คือแกให้คำแนะนำ ช่วยเหลือเต็มที่ จัดแจงเรื่องให้หมดทุกอย่าง ทางผมเลยได้รับศพ มาเผาที่นี่ 2. รถรับศพผมจะหาที่ไหนดี แต่ได้ราคา 6,000 บาท เพราะเป็นศพติดโรคเลยมีราคาสูง พอบ่าย ๆ โรงพยาบาล รู้ว่าพี่ชายเสีย เลยได้ติดต่อมาจะมารับให้เอง จึงได้รถโรงพยาบาลนานา มารับแทน พระเชิญดวงวิญญานยังไม่มี พวกเราพี่น้องต้องทำกันเอง หลังจากตอนเช้า ผมต้องให้แฟนเป็นคนขับรถให้ทั้ง ไป/กลับ ช่วยเดินเอกสารทุกอย่าง เพราะสภาพจิตใจของผมนั้น มันไม่ดีเอาซะเลย รับศพกลับมาถึงวัด เราก็ทำการเผาเลย และได้สวดศพเป็นบทสั้น ๆ เท่านั้น ส่วนเงินที่ทุกคนช่วยบริจาค ผมจะรอแม่มาทำบุญอีกครั้ง ตอนป่วย 8-9 วัน อยู่ห้อง ICU ห้ามเยี่ยมเด็ดขาด ไม่ได้พบญาติ ลูก เมีย พ่อแม่พี่น้องเพื่อน ต้องอยู่คนเดียวกับเครื่องช่วยหายใจ และสายระโยงระยางทั่วร่าง เพื่อประคองชีวิต หลังจากที่เครื่องช่วยหายใจทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ระบบต่างๆ ในร่างกายเริ่มล้มเหลว ทีละระบบ จนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย ไม่มีโอกาสได้พบญาติ ไม่มีโอกาสได้พูดคุย ไม่มีโอกาสได้ร่ำลา ไม่มีโอกาสได้พูดความในใจใด ๆ พยาบาลประจำหวอดแจ้งว่า “คนไข้น่าจะมีห่วง มีกังวล เพราะจากไปแบบไม่หลับตา” การบรรจุศพ ก็ดำเนินการเสร็จจากห้อง ICU โดยหุ้มห่อถึง 3 ชั้นปิดผนึกสนิท ห้ามเปิดเด็ดขาด ไม่มีโอกาสได้พบหน้าเป็นครั้งสุดท้าย พิธีศพก็ไม่มีจัด เคลื่อนศพออกจาก รพ. และจัดพิธีฌาปนกิจทันที ไม่มีพิธีสวด มีเพียงพิธีทำบุญ 1 วัน ในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น เป็นโรคที่ต้องเดียวดายจริงๆ ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เดินทำเรื่องไปร้องไห้ไป คือแม่งโคตรสงสาร คิดในใจ ทำไมมึงต้องเจออะไรแบบนี้ ผมเป็นคน ผมมีหัวใจ ผมเสียใจเป็น ผมร้องไห้ได้ ตอนนี้ผมพยายามทำใจอยู่ ใครไม่เกิดขึ้นกับตัว คงไม่รู้หรอกครับ สุดท้ายนี้ ผมขอบคุณทุกกำลังใจ และคนค่อยช่วยเหลือ ขอให้การร่วมบุญในครั้งนี้ ส่งผลให้ครอบครัวของทุกท่านมีความสุข หมดโรคภัย มีทุกข์ขอให้หมดทุกข์ มีสุขขอให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป