ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์วันนี้(23 เม.ย.)ดัชนีภาคเช้าปิดที่ระดับ 1,556.79 จุด ลดลง 11.42 จุด (-0.73%) มูลค่าการซื้อขายราว 45,334.74 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวลบตลอดช่วงเช้า โดยทำระดับสูงสุด 1,564.62 จุด และระดับต่ำสุด 1,553.73 จุด
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงจากความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโควิดในประเทศที่พบผู้ติดเชื้อเร่งตัวขึ้นกว่า 2,000 ราย ทำให้ตลาดเซลง โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้อง และหุ้นกลุ่มธนาคารที่แม้จะมีผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด แต่ปัญหาการแพร่ระบาดโควิดทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจแผ่วลง นอกจากนี้ สัญญาณทางเทคนิคไม่ดีตั้งแต่เมื่อวานนี้ เพราะดัชนีฯไม่ควรหลุดแนว 1,560 จุด
ขณะที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ หลังสหรัฐฯมีแผนจะปรับขึ้นภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุนเพิ่มอีกเกือบสองเท่า แม้จะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับบ้านเรา แต่หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวต่ำโอกาสที่จะเห็นการปรับเพิ่มประมาณการกำไรคงจะเป็นไปได้ลำบาก ส่วนตัวเลขการส่งออกของไทยที่ขยายตัว 8.7% ถือว่ายังไม่ดีพอเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่เติบโตได้ดีกว่า
ทั้งนี้ให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและกลุ่มปิโตรเคมี คาดว่าผลประกอบการจะออกมาดีขึ้น และติดตามสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ และความคืบหน้าการนำเข้าวัคซีนมาเพิ่มเติม
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ภาพรวมเป็นลบ ส่วนหนึ่งตอบรับ Sentiment จากสหรัฐหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีแนวคิดปรับขึ้นภาษี ประกอบกับอยู่ในช่วง Sell on fact กลุ่มแบงก์หลังประกาศผลประกอบการอาจมีการปรับฐานลงมาในระดับหนึ่ง
ส่วนสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทะลุ 2 พันราย และมีผู้เสียชีวิต 4 ราย ขณะที่การฉีดวัคซีนยังทำได้ช้า จึงทำให้เกิดการระบาดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากยังไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ ส่งผลกระทบต่อแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นรายได้หลักของเศรษฐกิจไทยด้วย เป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทยในระยะกลาง
โดยหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจทั้งหุ้นกลุ่มแบงค์ที่ประกาศผลประกอบการออกมาครบเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะมีแรงขายออกมา ส่วนหุ้นกลุ่มห้างสรรพสินค้า จากปัจจัยด้านการระบาดที่ส่งผลให้คนกังวล และยังขาดความเชื่อมั่นในการกลับไปใช้บริการอาจกระทบต่องผลการดำเนินงานไตรมาส 2/64 แต่กลุ่มโรงพยาบาลคาดว่าจะมี Momentum บวก แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่าย ถึงแม้ตลาดจะปรับฐานแต่คาดว่าจะยังไม่หลุดแนวรับที่ 1,550 จุด ส่วนแนวต้านความหวังที่จะกลับไปปิดบวกคงยาก ให้แนวรับอยู่ที่ 1,572 จุด
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ STGT มูลค่าการซื้อขาย 2,204.44 ล้านบาท ปิดที่ 44.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง,STA มูลค่าการซื้อขาย 2,126.68 ล้านบาท ปิดที่ 47.25 บาท ลดลง 1.50 บาท,KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,047.66 ล้านบาท ปิดที่ 135.00 บาท ลดลง 2.00 บาท,SAWADมูลค่าการซื้อขาย 1,262.72 ล้านบาท ปิดที่ 82.25 บาท ลดลง 1.25 บาท,INTUCHมูลค่าการซื้อขาย 1,063.80 ล้านบาท ปิดที่ 63.75 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง