“กองทัพอากาศ”ปลื้มปีติ“ในหลวง-พระราชินี” พระราชทานน้ำยาตรวจ PCR COVID-19 ด้าน “ผบ.ทสส.” จัดรถทหาร 30 คัน พร้อมลำเลียงผู้ป่วยโควิดส่งรพ.สนาม ส่วน “รพ.ลำปาง” เจอเขย่าขวัญ หลังพบผลข้างเคียงฉีวัคซีน “ซิโนแวค” เกิดอาการหน้าชา-พูดไม่ชัด-แขนขาอ่อนแรง เกือบ 40 ราย จาก 400 คน ทีมแพทย์ต้องสั่งหยุดฉีดทันที ส่วน“ช่อง 7HD” สั่งกักตัว 6 ผู้ประกาศข่าว หลังพบพนักงานติดโควิด “ทำเนียบฯ” ผวา! พบผู้ติดเชื้อโควิดย่านที่พักตร.ทำเนียบฯ สั่งตร.กลุ่ม เสี่ยงตรวจหาเชื้อ ขณะที่“ที่ปรึกษานายกฯ”แจงไม่มี ตร.กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ ขณะที่พิษโควิดไทยดับอีก7 ราย ป่วยพุ่ง 1,470 ราย ส่วนทั่วโลกติดเชื้อทะลุ 144 ล้านราย
เมื่อวันที่ 22 เม.ย.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจกรมแพทย์ทหารอากาศ กองทัพอากาศ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทาน "น้ำยาตรวจ PCR COVID-19 " ให้แก่ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ จำนวน 10,000 ชุด มูลค่ารวม 7,200,000 บาท
ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มีประชาชน และข้าราชการทั้งในส่วนกองทัพอากาศ และนอกกองทัพอากาศ มาขอรับการตรวจเป็นจำนวนมาก และการตรวจแบบเต็มศักยภาพของโรงพยาบาล จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคมีประสิทธิภาพ และช่วยลดการแพร่กระจายโรคได้เป็นอย่างดี จำนวนน้ำยาตรวจ PCR COVID-19 ในห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลจึงเริ่มขาดแคลน จึงได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลขอรับพระมหากรุณาธิคุณขอพระราชทานน้ำยาตรวจ PCR COVID-19 เพื่อให้มีเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลประชาชนด้านเหนือของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ เป็นโรงพยาบาลรัฐแห่งเดียว ที่ดูเเลประชาชนสิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) เกือบ 2 แสนคน ให้ได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงต่อไป
ข้าพระพุทธเจ้า ข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานราชการ กรมแพทย์ทหารอากาศ ขอพระบรมราชานุญาต กราบพระบาท ด้วยน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้"
ด้าน พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผบ.ทสส.ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง(หน.ศปม.) กล่าวถึงกรณีที่นายกฯสั่งการให้นำรถทหาร เข้ามาช่วยในการลำเลียงผู้ป่วยโควิด-19 ว่า ทางกอง ทัพจะเข้าสนับสนุน ในส่วนผู้ป่วยประเภทสีเขียว ที่แพทย์วินิจฉัย มีผลเป็นบวก แต่อาการไม่มาก โดยจะเคลื่อนย้ายจากโรงพยาบาล ไปส่งยังโรงพยาบาลสนาม ประมาณ 30 คัน โดยจะเป็นรถพยาบาล ของกองพันเสนารักษ์ รวมถึงรถสองตอน ที่ต้องแยกระหว่างคนขับกับผู้ป่วยออกจากกัน ซึ่งส่วนใหญ่จะดำเนินการในกรุงเทพฯเป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง ได้รับรายงานจากทางโรงพยาบาลลำปาง ว่า มีบุค ลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นหญิงพยาบาลวิชาชีพ อายุ 46 ปี มีอาการที่ไม่พึ่งประสงค์ หลังได้รับการฉีดวัคซีน ซิโนแวค โดยหลังฉีดเข้าไป 15 นาที ได้เกิดอาการเวียนศีรษะ ปวดหัว จึงเข้ารับการปฐมพยาบาล และรักษา ที่หน่วยฉุก
เฉินของโรงพยาบาลทันที ก่อนจะมีอาการกำเริบมากขึ้น ทั้งแน่นหน้าอก เวียนศีรษะ ตาลาย หน้าชา พูดไม่ชัด แขนขาข้างซ้ายอ่อนแรงและอาเจียน 2 ครั้ง ทางโรงพยาบาลลำปาง จึงระดมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาประเมินอาการ และทำการช่วยเหลือ
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า กลุ่มที่ฉีดวัคซีนดังกล่าว เป็นบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลลำปาง กลุ่มที่ 2 จำนวนกว่า 400 คน และพบเกือบ 40 คน ที่เกิดอาการ หลังได้รับวัคซีนจึงทำให้ทางโรงพยาบาลลำปาง ต้องมีการหยุดการฉีดวัคซีนทันที เพื่อประเมินสถานการณ์
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทาง7HD ได้ออกประกาศว่า มีพนักงานของช่อง 7HDติดโควิด1 รายเมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา จากบุคคลภายนอก และขณะนี้ ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว จึงต้องมีการกักตัวสั่งเกตุอาการของผู้ประกาศข่าว 6ราย เนื่องจากทำงานใกล้ชิดกับบุคคลภายนอกเป็นเวลา 14 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ล่าสุดมีผู้พักอาศัยในซอยพิษณุโลก 1 เขตดุสิต ติดเชื้อโควิด เมื่อวันที่ 21 เม.ย.และยังกักตัวเองอยู่ที่บ้านพักในซอยดังกล่าว เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องเตียงผู้ป่วย จึงสร้างความหวาดวิตกให้กับผู้ที่พักอาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นที่พักของตำรวจสันติบาลประจำทำเนียบฯกว่า 30 นายโดยส่วนหนึ่ง ทำงานอยู่ภายในตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบฯ ที่ทำงานของนายกฯ อย่างไรก็ตาม ทางผู้บังคับบัญชา ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มเสี่ยงเข้ารับการตรวจหาเชื้อจากสำนักงานเขตดุสิตแล้ว
ล่าสุด น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกฯ ในฐานะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ชี้แจง กรณีดังกล่าวว่า ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำทำเนียบฯ เป็นผู้เสี่ยงสูง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบฯ จะได้รับการตรวจโควิดเป็นระยะๆ อยู่แล้ว
ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)หรือศบค.แถลงว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,470 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศทั้งหมด ไม่มีผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ โดยเป็นผู้ป่วย จากการค้นหาเชิงรุก 100 ราย ผู้ป่วยในระบบบริการ และสอบ สวนโรค 1,370 ราย รวมผู้ป่วยยืนยันสะสม 48,113 ราย หายป่วยแล้ว 29,848 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 7 ราย โดยรายแรกเป็นหญิงไทย อายุ 24 ปี มีอาชีพค้าขาย อยู่ที่จ.พัทลุง มีโรคประจำตัว รายที่ 2เป็นหญิงไทย อายุ 68 ปี มีอาชีพดู แลเด็ก อยู่ที่ จ.สระบุรี มีโรคประจำตัวภูมิแพ้ รายที่ 3 เป็นชายไทย อายุ 83 ปี อยู่ กทม. มีโรคประจำตัว ความดันโล หิต สูง รายที่4 เป็นหญิงไทย อายุ 80 ปี เป็นผู้ป่วยติดเตียง อยู่จ.นครปฐม มีโรคประจำตัวเบาหวาน รายที่ 5 เป็นชายไทย อายุ 45 ปี มีอาชีพเป็นพนักงานขับรถ อยู่ กทม. มีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง รายที่ 6 เป็นชายไทย อายุ 59 ปี เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ อยู่ กทม. มีโรคประจำตัวเบาหวานและรายที่ 7 เป็นชายไทย อายุ 86 ปี มีอาชีพรับจ้าง อยู่ กทม. มีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจ รวมยอดเสียชีวิตสะสม 117 ราย
“ที่ประชุม ศบค.ชุดเล็ก มีการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิต จากการระบาดทั้ง 3 ระลอก พบว่า ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ มีประวัติติดเชื้อเชื่อมโยงจากสถานบันเทิง รองลงมาคือ แหล่งชุมชน ตลาด และการติดเชื้อในครอบครัว กลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ยังเป็นกลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุด แม้ว่าการระบาดรอบหลังๆ จะมีผู้ป่วยที่อายุน้อยเสียชีวิตเพิ่มเติม และที่สำคัญคือ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ จะมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต จึงเป็นบทเรียนให้เพิ่มความระมัดระวัง โดยเฉพาะการนำเชื้อจากข้างนอกไปติดคนในบ้าน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงกรณีมีการแพร่กระจายเชื้อไปในหลายพื้นที่ ทำให้ประชาชนกังวลว่า จุดที่เดินทางไปนั้นมีความเสี่ยงหรือไม่ว่า กรมอนามัยได้จัดทำแบบประเมินตนเองของสถานประกอบการบนแพลตฟอร์ม “ Thai Stop COVID Plus” เพื่อให้ผู้ประกอบการทำแบบประเมินตนเองจะทำให้การป้องกันโควิดมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุก๊าซออกซิเจนรั่วที่โรงพยาบาลซากีร์ฮุสเซน เมืองนาสิก แคว้นมหาราษฎระ ประเทศอินเดีย ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างน้อย 22 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยโรคโควิด-19 หลายรายด้วยกัน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ตามวันเวลาท้องถิ่น
รายงานข่าวแจ้งว่า เหตุก๊าซออกซิเจนรั่วครั้งนี้ เกิดขึ้นในระหว่างการเติมถังก๊าซออกซิเจน เพื่อใช้เป็นเครื่องช่วยหายใจแก่บรรดาผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ภายในโรงพยาบาลดังกล่าว ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ในแคว้นมหาราษฏระ ที่มีความรุนแรงหนักที่สุดของอินเดีย
ภายหลังเกิดเหตุยังส่งผลให้เกิดความวุ่นวายขึ้นภายในโรงพยาบาล เมื่อปรากฏว่า มีประชาชนจำนวนมาก ต่างพากันเข้าไปในโรงพยาบาล เพื่อขโมยถังออกซิเจนเอาไปให้ญาติพวกเขาที่กำลังล้มป่วยเพราะติดเชื้อไวรัสโควิดฯ ด้วย
สำหรับ สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ในอินเดีย แต่ละวันพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่จำนวนหลายแสนคน โดยในรอบ 24 ชั่วโมงของวันพุธที่ผ่านมา พบผู้ป่วยรายใหม่จำนวน 315,802 ราย ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 15,930,965 ราย มากเป็นอันดับ 2 ของโลก ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 184,672 ราย และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 13,454,880 ราย
ทางด้าน ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ หรือซีดีซี เปิดเผยความคืบหน้าโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 แก่ประชาชน โดยระบุว่า นับถึงวันพุธที่ผ่านมา ตามวันเวลาท้องถิ่น สหรัฐฯ สามารถฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดฯ ให้แก่ประชาชนไปแล้ว 215 ล้านโดส จากจำนวนที่ได้จัดสรรวัคซีนออกไปทั่วประเทศ 277 ล้านโดส ซึ่งจำนวนวัคซีนที่ฉีดให้แก่ประชาชนไปแล้วนั้น ถือว่ามากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ก่อนหน้าจำนวน 200 ล้านโดส
พร้อมกันนี้ ทางซีดีซี ยังระบุด้วยว่า จากการที่ฉีดได้เกินเป้าหมายดังกล่าว ส่งผลให้สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ระยะต่อไปของการฉีดวัคซีน โดยจะเปลี่ยนเป้าหมายจากประชาชนกลุ่มเสี่ยง เป็นประชาชนทั่วไป ตามที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้เคยประกาศไว้ก่อนหน้า ซึ่งคาดว่า จะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงปลายเดือนนี้ โดยทางประธานาธิบดีไบเดน ยังได้กล่าวย้ำด้วยว่า ขณะนี้สหรัฐฯ พร้อมเข้าสู่ระยะใหม่ของโครงการฉีดวัคซีนครั้งประวัติศาสตร์แล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่า วัคซีนที่สหรัฐฯ นำไปใช้ให้แก่ประชาชนตามการอนุมัติฉุกเฉินของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือเอฟดีเอ ประกอบด้วยวัคซีน 3 ขนาน ได้แก่ ไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค และโมเดอร์นา รวมถึงจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน โดยขนานของจอห์นสันฯ ได้ถูกระงับการใช้ชั่วครว หลังมีผู้ได้รับการฉีดแล้วเกิดอาการไม่พึงประสงค์ คือ ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน และเกล็ดเลือดต่ำในสตรี จำนวน 6 ราย ด้วยกัน
ทางด้าน สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐฯ พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันจำนวนมากกว่า 60,000 ราย โดยในรอบ 24 ชั่วโมงของวันพุธที่ผ่านมา ตามวันเวลาท้องถิ่น พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่มจำนวน 65,052 ราย ส่งผลให้จำนวนสะสมของผู้ป่วยติดเชื้ออยู่ที่ 32,602,051 ราย มากเป็นอันดับ 1 ของโลก ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 583,330 ราย มากเป็นอันดับ 1 ของโลกเช่นกัน และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 25,177,434 ราย
ขณะที่ สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดฯ ทั่วโลก ยังคงลุกลามอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ 219 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมจำนวน 144,472,683 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตมีจำนวน 3,072,276 ราย และผู้ป่วยที่รักษาหายมีจำนวนสะสม 122,660,280 ราย