จากกรณีที่ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ได้ ส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการ ใน 3 คดี ประกอบด้วยคดีการชุมนุมที่สวนเรืองแสงและชุมนุมต่อเนื่องที่หน้า สภ.เมืองขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2564 คดีการชุมนุมที่ สภ.ย่อย มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2564 และคดีปลดธงชาติไทยและชักธงปฏิรูปกษัตริย์ที่ตึกอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2564 โดยพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ได้นำแกนนำคณะราษฎรขอนแก่นเดินทางมารายงานตัว 12 คน จากทั้งหมด 16 คน เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา และในวันนี้พนักงานอัยการได้กำหนดให้ผู้ต้องหามารับฟังคำสั่ง และมีคำสั่งฟ้อง นายวชิรวิทย์ ศรีเมืองเทศ หรือเซฟ ขอนแก่นพอกันที ,นายชัยธวัช รามมะเริง นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และนายเชษฐา กลิ่นดี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จากกิจกรรมการชักธงปฏิรูปกษัตริย์ ในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่วนคดีการชุมนุมที่สภ.ย่อยมหาวิทยาลัยขอนแก่นและ หน้า สภ.เมืองขอนแก่น พนักงานอัยการได้สั่งให้มีการสอบปากคำเพิ่มเติม และส่งคืนสำนวนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามข่าวที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าในเรื่องนี้เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 22 เม.ย.2564 แกนนำคณะราษฎรขอนแก่น และ แกนนำราษฎรโขง ชี มูล และผู้ให้การสนับสนุนรวมกว่า 20 คน ได้เดินขบวนจากหน้าสำนักงานอัยการ จ.ขอนแก่น มาที่ศาลแขวงขอนแก่น ระยะทางรวมกว่า 1.5 กม. เพื่อรายงานตัวต่อศาลภายหลังจากที่พนักงานอัยการ จ.ขอนแก่น มีคำสั่งฟ้องนายวชิรวิทย์ ศรีเมืองเทศ หรือเซฟ ขอนแก่นพอกันที ,นายชัยธวัช รามมะเริง นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และนายเชษฐา กลิ่นดี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คดีเลขดำที่ 676/2564 ในฐานความผิดร่วมกันชักธงที่มีความหมายถึงประเทศไทยหรือธงชาติไทย โดยไม่เคารพ โดยดูถูกเหยีดหยามและโดยทำให้เกิดความเสื่อมเสียซึ่งเกียรติภูมิของประเทศไทยหรือธงชาติไทย ,ร่วมกันชักธงชาติไทยไว้ ณ ที่หรือโดยวิธีอันไม่สมควร และร่วมกันกระทำการใดๆอันมีลักษณะเป็นการเหยียดหยามต่อรอง ท่ามกลางการคุมเข้มความปลอดภัยของกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนมาก
และเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมาถึงได้รวมตัวกันบริเวณด้านหน้าป้ายของศาลเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ก่อนที่ นายเสฐียรพงศ์ ล้อศิริรักษ์ ทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จะนำจำเลยทั้ง 3 เข้ารายงานตัวต่อศาล ซึ่งตำรวจศาลไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนหรือผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในเขตอำนาจศาลและให้พักรอที่เรือนพักญาติด้านหน้าของศาลเท่านั้น
โดยศาลแขวงขอนแก่น ได้ใช้เวลาในการพิจารณาสำนวนฟ้องและคำร้องของอัยการและทนายความจำเลยนานกว่า 2 ชม. ก่อนที่จะมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่มีเงื่อนไขจำเลยทั้ง 3 คน พร้อมทั้งนัดสืบพยานในวันที่ 7 มิ.ย.2564
นายชัยธวัช รามมะเริง แกนนำคณะราษฎรขอนแก่น กล่าวว่า หลังจากที่ได้รายงานตัวต่อศาลแขวงขอนแก่น ตามที่พนักงานอัยการได้สั่งฟ้อง ซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวนจำเลยไม่ได้ให้การ แะในชั้นศาลได้ยื่นคำร้องปล่อยตัวชั่วคราวเนื่องจากจำเลยทั้ง 3 คนอยู่ในช่วงของการสอบปลายภาค ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งศาลท่านเมตตารับฟังคำร้องที่จำเลยและทนายความได้ยื่นไปจึงมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวดังกล่าว
"ทุกคนรับฟังคำสั่งศาล ตามที่ท่านได้พิจารณาลงมา จากนี้ไปทีมทนายความจะทำหน้าในการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ตามการนัดสืบพยานของศาลที่ท่านได้นัดในวันที่ 7 มิ.ย. ซึ่งถือเป็นการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตยและต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมาย และโดยส่วนตัวแกนนำทุกคนไม่รู้สึกกังวลใจอะไร เนื่องจากทีมทนายความจากเครือข่ายทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ส่งทีมทนายความมาดำเนินการในเรื่องข้อกฎหมายให้กับแกนนำและผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมทุกคน ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและเป็นไปการต่อสู้ด้วยความจริง พยาน และหลักฐาน ตามกระบวนการยุติธรรม"
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่ศาลแขวงขอนแก่น มีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 3 คน นายวชิรวิทย์ เทศศรีเมือง หรือเซฟ ขอนแก่นพอกันที แกนนำคณะราษฎรขอนแก่น ได้เดินทางไปสอบปลายภาคที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นทันที ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมต่างพากันทยอยออกจากศาลอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด
ความคืบหน้าในเรื่องนี้เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 22 เม.ย.2564 แกนนำคณะราษฎรขอนแก่น และ แกนนำราษฎรโขง ชี มูล และผู้ให้การสนับสนุนรวมกว่า 20 คน ได้เดินขบวนจากหน้าสำนักงานอัยการ จ.ขอนแก่น มาที่ศาลแขวงขอนแก่น ระยะทางรวมกว่า 1.5 กม. เพื่อรายงานตัวต่อศาลภายหลังจากที่พนักงานอัยการ จ.ขอนแก่น มีคำสั่งฟ้องนายวชิรวิทย์ ศรีเมืองเทศ หรือเซฟ ขอนแก่นพอกันที ,นายชัยธวัช รามมะเริง นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และนายเชษฐา กลิ่นดี นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คดีเลขดำที่ 676/2564 ในฐานความผิดร่วมกันชักธงที่มีความหมายถึงประเทศไทยหรือธงชาติไทย โดยไม่เคารพ โดยดูถูกเหยีดหยามและโดยทำให้เกิดความเสื่อมเสียซึ่งเกียรติภูมิของประเทศไทยหรือธงชาติไทย ,ร่วมกันชักธงชาติไทยไว้ ณ ที่หรือโดยวิธีอันไม่สมควร และร่วมกันกระทำการใดๆอันมีลักษณะเป็นการเหยียดหยามต่อรอง ท่ามกลางการคุมเข้มความปลอดภัยของกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนมาก
และเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมาถึงได้รวมตัวกันบริเวณด้านหน้าป้ายของศาลเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ก่อนที่ นายเสฐียรพงศ์ ล้อศิริรักษ์ ทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จะนำจำเลยทั้ง 3 เข้ารายงานตัวต่อศาล ซึ่งตำรวจศาลไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนหรือผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาในเขตอำนาจศาลและให้พักรอที่เรือนพักญาติด้านหน้าของศาลเท่านั้น
โดยศาลแขวงขอนแก่น ได้ใช้เวลาในการพิจารณาสำนวนฟ้องและคำร้องของอัยการและทนายความจำเลยนานกว่า 2 ชม. ก่อนที่จะมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่มีเงื่อนไขจำเลยทั้ง 3 คน พร้อมทั้งนัดสืบพยานในวันที่ 7 มิ.ย.2564
นายชัยธวัช รามมะเริง แกนนำคณะราษฎรขอนแก่น กล่าวว่า หลังจากที่ได้รายงานตัวต่อศาลแขวงขอนแก่น ตามที่พนักงานอัยการได้สั่งฟ้อง ซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวนจำเลยไม่ได้ให้การ แะในชั้นศาลได้ยื่นคำร้องปล่อยตัวชั่วคราวเนื่องจากจำเลยทั้ง 3 คนอยู่ในช่วงของการสอบปลายภาค ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งศาลท่านเมตตารับฟังคำร้องที่จำเลยและทนายความได้ยื่นไปจึงมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวดังกล่าว
"ทุกคนรับฟังคำสั่งศาล ตามที่ท่านได้พิจารณาลงมา จากนี้ไปทีมทนายความจะทำหน้าในการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ตามการนัดสืบพยานของศาลที่ท่านได้นัดในวันที่ 7 มิ.ย. ซึ่งถือเป็นการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตยและต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมาย และโดยส่วนตัวแกนนำทุกคนไม่รู้สึกกังวลใจอะไร เนื่องจากทีมทนายความจากเครือข่ายทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้ส่งทีมทนายความมาดำเนินการในเรื่องข้อกฎหมายให้กับแกนนำและผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมทุกคน ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและเป็นไปการต่อสู้ด้วยความจริง พยาน และหลักฐาน ตามกระบวนการยุติธรรม"
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังจากที่ศาลแขวงขอนแก่น มีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 3 คน นายวชิรวิทย์ เทศศรีเมือง หรือเซฟ ขอนแก่นพอกันที แกนนำคณะราษฎรขอนแก่น ได้เดินทางไปสอบปลายภาคที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นทันที ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมต่างพากันทยอยออกจากศาลอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด