นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วและการระบาดรอบที่ 2 ในช่วงปลายปีต่อเนื่องถึงต้นปีนี้ ซึ่งทาง MI ได้เคยประเมินไว้ว่าจากเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้น เราน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาของไทยน่าจะอยู่ในช่วงฟื้นตัวและขาขึ้นในปีนี้ เป็นผลทำให้มีการประเมินในช่วงต้นปีหลังจากการระบาดระลอกที่ 2 เริ่มทุเลาลง ทาง MI ได้คาดการณ์ตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาปีนี้เติบโต +5% ถึง +10 % เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม จากการระบาดรอบล่าสุดนี้ซึ่งเป็นระลอกที่ 3 ทำให้ธุรกิจและสภาวะโดยรวมของไทยกลับซบเซาดิ่งลงอีก ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา (ช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์) และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะคลี่คลายในเร็ววันนี้ โดยจากสถานการณ์ล่าสุด ทาง MI ได้ประเมินความเป็นไปได้หลังจากนี้เอาไว้ 2 Scenarios คือ1.หากการระบาด ระลอก 3 นี้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทรงๆอยู่ที่วันละ 1,xxx และมีแนวโน้มที่จะค่อยๆลดลง จนถึงตัวเลขที่น่าพอใจ (ต่ำกว่า 100) ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ ประกอบกับจำนวนวัคซีนที่จะมีการกระจายมากขึ้นตลอดทั้งปี เม็ดเงินสื่อโฆษณาในปีนี้น่าจะยังพอเติบโตได้บ้าง คือประมาณ +4% หรือเม็ดเงินรวมอยู่ที่ประมาณ 78,000 ล้าน
2.หากการระบาดระลอกที่ 3 นี้ มีตัวเลขที่สูงขึ้น โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทำ New High อย่างต่อเนื่องและยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงในเร็ววัน หรือลดลงจนถึงตัวเลขที่น่าพอใจ (ต่ำกว่า 100) ภายในครึ่งปีแรกนี้ เม็ดเงินสื่อโฆษณาในปีนี้น่าจะไม่เติบโต หรือใกล้เคียงกับปีที่แล้วคือประมาณ 75,000 ล้าน ทั้งนี้ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นใดก็ตาม โอกาสที่จะเห็นเม็ดเงินโฆษณาในปีนี้เติบโต 2 หลักคงเป็นไปได้ยาก
ขณะเดียวกันอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลบวกได้บ้างกับเม็ดเงินสื่อโฆษณาไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อทีวี คือการกลับมาของกรรมกรข่าวตัวพ่ออย่าง สรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่ทาง MI ประเมินว่าการกลับมาของสรยุทธในครั้งนี้จะส่งผลอย่างมีนัยยะสำคัญในหลายๆเรื่อง เช่น ความสนใจในการติดตามข่าวสาร อิทธิพลทางความคิด ความรู้สึก ของผู้ชมรายการโทรทัศน์ต่อข่าวสาร ความเคลื่อนไหวต่างๆ และการสร้างแรงกระเพื่อมให้กับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งสรยุทธ มีบทบาทสำคัญต่อเรื่องเหล่านี้ ซึ่งน่าจะส่งผลบวกโดยตรงต่อช่อง 3 โดยเฉพาะรายการข่าว และเม็ดเงินโฆษณาสื่อทีวีโดยรวม
“ความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสรยุทธคือ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พฤติกรรมการบริโภคสื่อ พฤติกรรมของผู้ชมหรือผู้เสพรายการข่าว หรือคอนเทนท์ประเภทข่าวเปลี่ยนไปอย่างมาก ทั้งการรับชมรายการข่าวผ่าน TV ช่องต่างๆ และช่องทางออนไลน์หรือผ่าน Social Media ของ Publishers และ KOLs ที่หลากหลาย (ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น) เป็นที่นิยมมากขึ้นในวงกว้าง จนกลายเป็นพฤติกรรมหลักไปแล้วสำหรับคนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนเมืองและคนรุ่นใหม่ การกลับมาทำหน้าที่ผู้ดูแลรายการข่าว ผู้ดำเนินรายการข่าวของ สรยุทธ อาจเป็นเรื่องยากและท้าทายมากที่จะดันเรตติ้งกลับไปที่จุดเดิมหรือสูงกว่าเรตติ้งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว”
โดยจากข้อมูลเรตติ้งเฉลี่ยของ ”รายการเรื่องเล่าเช้านี้” ในช่วงที่สรยุทธยังจัดรายการอยู่ เปรียบเทียบกับเรตติ้งเดือนล่าสุด ตกลงมากกว่า 60% และ”รายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์” ตกลงมากกว่า 30% ทาง MI มองว่าบทบาทและความนิยมในตัวสรยุทธในปัจจุบัน ภายใต้สมรภูมิสื่อที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิตัลที่ Social Media มีอิทธิพลต่อคนไทยอย่างมากใน (Changing Media Landscape) สรยุทธไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้ดูแล ควบคุมและดำเนินรายการข่าว แต่สรยุทธถือว่าเป็น Influencer (KOL) แนวหน้าที่ทรงพลังที่สุดคนนึงก็ว่าได้
ทั้งนี้นอกเหนือจากการเป็นผู้ดำเนินรายการข่าว คุยข่าว สรยุทธยังเป็นผู้สร้างคอนเทนท์ข่าว การนำเสนอในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ และสามารถปลุกกระแสข่าว สร้างแรงกระเพื่อม (Call to Action) ในกิจกรรมต่างๆได้อย่างมาก เพราะฉะนั้นการวัดความนิยมในตัวสรยุทธในฐานะกรรมกรข่าว คงวัดจากเรตติ้งผู้ชมรายการข่าวทาง TV ของช่อง3 อย่างเดียวคงไม่พอ การคำนึงถึงจำนวนผู้ชมและผู้มีส่วนร่วมในช่องทางออนไลน์ social media ต่างๆน่าจะเป็นคำตอบที่ทำให้ภาพชัดเจนถึงความนิยมและอิทธิพลของสรยุทธ ต่อคนไทยและผู้บริโภคข่าวจากหลากหลายช่องทาง