เมื่อเวลา 14.50 น. วันที่ 21 เม.ย.64 ที่โรงพยาบาลสนาม เอราวัณ 2 ศูนย์กีฬาบางกอกอารีนา เขตหนองจอก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ตรวจความพร้อมโรงพยาบาลสนาม เอราวัณ 2 ว่า จากการเยี่ยมชมการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลสนามเอราวัณ 2 มีความพอใจในการเตรียมการ ซึ่งทราบว่า อีกหลายพื้นที่อยู่ระหว่างการเตรียมการและสามารถรองรับได้เกือบ 3,000 เตียง และขอให้เข้าใจตรงกันว่า เรามีผู้ป่วย3 ระดับคือสีแดง สีเหลืองและสีเขียว ซึ่งผู้ป่วยที่จะเข้ามาอยู่โรงพยาบาลสนามนั้นคือผู้ป่วยสีเขียวเพื่อมากับตัว 14 วัน ก็ขอให้อดทนกันสักนิดเพื่อความปลอดภัย ส่วนผู้ป่วยสีแดงกับสีเหลือง จะต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล ซึ่งวันเดียวกันนี้มีการเตรียมไว้ประมาณ 500 คนเพื่อเข้าสู่โรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ในส่วนของโรงพยาบาลที่จะรับผู้ป่วยสีแดงและสีเหลือง พบว่ามีปัญหาเล็กน้อยในเรื่องของจำนวนเตียงจึงได้เตรียมในส่วนของฮอสพิเทลเพิ่มขึ้น ก็ขอความร่วมมือ หากโรงแรมใดมีความประสงค์ที่จะร่วมในการเป็นฮอสพิเทล ขอให้เสนอความต้องการเข้ามา ส่วนหนึ่งก็เป็นการช่วยเหลือกันในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลต้องดูแลทั้งสองทาง
“ยืนยันว่ารัฐบาลมีความพร้อมในการรับสถานการณ์ แม้จะดูแรงขึ้น เราก็ขอดูซักระยะหนึ่งกราฟจะขึ้นหรือลง ถ้าเราสามารถควบคุมได้ ก็จะเป็นไปตามขั้นตอนที่เราวางแผนไว้ สำหรับโรงพยาบาลสนามถ้าผมป่วย ผมก็มาอยู่ เพราะน่าอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเราก็ดูแลดีที่สุดแล้ว บางประเทศที่ติดโรคกันเยอะๆ นอนเตียงละ 2 คนก็มี”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนของวัคซีนวันนี้ได้สอบถามจากทุกหน่วยงานก็ไม่ได้ช้าเกินไปปัญหาคือตัวเลขวัคซีนเข้ามาเป็นระยะ เราต้องฉีดตามระยะ ซึ่งวัคซีนที่เข้ามาก็ต้องทยอยแจกตามพื้นที่ความเสี่ยงและลำดับความสำคัญ ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะฉีดเข็มเดียวให้ทุกคนไปก่อน เพราะเราต้องเตรียมความเสี่ยงไว้ด้วย เนื่องจากเข็มที่สองนั้นสำคัญถ้าไม่ได้ฉีดก็อาจจะมีปัญหา อย่าลืมว่าอาจเกิดปัญหาการส่งมอบ เพราะวันนี้ปัญหาเกิดขึ้นทั้งโลกทุกคนต้องการวัคซีนทั้งหมดส่วนการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมนั้น เราเปิดเสรีให้นำเข้าได้แต่ต้องผ่านกติกา เพราะเป็นวัคซีนที่ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่มีใครรับผิดชอบได้นอกจากรัฐบาล ซึ่งได้ทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนไปหมดแล้ว
“ยืนยันว่ารัฐบาลจะทำอย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนของเราปลอดภัย แต่ก็ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของทุกคน และขอร้องให้ช่วยกันฟังช่องทางของรัฐบาลมากหน่อย ทุกคนต้องตั้งใจฟัง เพราะเรื่องสลับซับซ้อน ถ้าไปมัวอ่านความคิดเห็นทั่วไป ก็ไม่รู้จะไปเชื่อใคร ไม่ได้ฟังรัฐบาลทำให้เกิดปัญหา ซึ่งผมไม่ได้โทษใคร ถ้ามันไม่ดี ผมก็ต้องรับผิดชอบ ยืนยันเราทุกคนพร้อมที่จะแก้ปัญหานี้ อะไรที่เดือดร้อน อะไรที่เป็นปัญหา รัฐบาลนี้จะเป็นคนดูแลให้กับทุกคน และจะแก้ปัญหาทุกอย่างให้ดีที่สุดพร้อมๆ กันไป
ทุกคนทราบดีว่าปัญหาของเราอยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งทุกคนก็ต้องร่วมมือกัน อะไรก็ตามที่ไม่เป็นประโยชน์ อ่านได้แต่อย่าไปเชื่อทั้งหมดรัฐบาลเองก็เต็มที่แล้วล่ะ และหากมาตรการคุมไม่อยู่ มันก็ต้องแรงขึ้น ซึ่งทุกคนคงไม่อยากไปถึงจุดนั้น ขอให้เข้าใจตรงกัน เห็นใจประชาชนทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งรัฐบาลกำลังเตรียมมาตรการด้านเศรษฐกิจ ขอเวลาสักนิดนึง เพราะต้องเตรียมงบประมาณ แนวทาง หลายคนเสนอง่ายๆ ให้แจกเงินไป แต่ทำไม่ได้ทั้งหมด เพราะงบประมาณเรามีจำกัด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ในเรื่องของวัคซีนก็มีความเป็นห่วงว่าจะช็อตหรือไม่ช็อตแต่ยืนยันว่าวันนี้ยังสามารถนำเข้าได้อยู่ หลายประเทศเริ่มมีปัญหาแล้ว เพราะแย่งกันเนื่องจากมีการแพร่ระบาดเยอะกว่าไทย
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่นายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเสนอตัวประสานเกี่ยวกับเรื่องวัคซีนโควิดกับนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย นายกฯกล่าวว่า “ไม่ถาม ไม่ตอบ อย่ามาถามถึงคนที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย อย่ามาถามผมไม่รู้จักผมไม่รู้เรื่องเขา”
เมื่อถามว่าจะเดินหน้าเปิดประเทศภูเก็ตโมเดลไปตามแผนหรือไม่นายกฯกล่าวว่า ก็เป็นไปตามแผนที่วางไว้แต่ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณวัคซีนที่เราจัดหาได้ ทั้งนี้มีผู้ที่ฉีดไปแล้ว 20 เปอร์เซ็นต์โดยแบ่งเป็นสามส่วน ตนจึงได้สั่งการไปว่าในแต่ละส่วนขอให้ฉีดให้ได้ 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งยังมีเวลาจนถึงเดือนพฤษภาคมและในเดือนกรกฎาคมจึงจะมาดูอีกครั้งหนึ่ง ตนก็อยากจะให้เปิดให้ได้ แต่ไม่ใช่ว่าสุ่มสี่สุ่มห้าให้เปิด เราต้องมีการเตรียมความพร้อมทำให้พื้นที่มีความปลอดภัยเพราะต่างประเทศอยากมาเที่ยวเมืองไทยอยู่แล้ว ที่สำคัญเราจะต้องไม่ทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกัน ไม่เช่นนั้นจะแก้ไขอะไรไม่ได้ทุกอย่างมีปัญหามีความรุนแรงเกิดขึ้นทั้งสิ้น
เมื่อถามว่าการที่รัฐมีนโยบายให้ผู้ป่วยมากักตัวในสถานที่ของรัฐ จะทำให้คนไม่กล้าออกมาตรวจโควิด-19 หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นกฎหมายที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามเพราะเป็นความปลอดภัยของบุคคลอื่น ถ้าจะบอกว่าไม่กล้ามา แล้วจะให้ตนทำอย่างไร จะให้เจ้าหน้าที่ไปจับตัวมาอย่างนั้นหรือคงไม่ใช่ ถ้าไม่เห็นถึงความปลอดภัยของตัวเอง ครอบครัวของคนอื่นและสังคมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน