น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอกู้เงินจาก ธปท. ตามมาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อฟื้นฟูและโครงการพักทรัพย์พักหนี้ ภายใต้พระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2564 (พ.ร.ก. ฟื้นฟูฯ) ได้ตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย.64 เป็นต้นไปประกอบด้วย 2 มาตรการช่วยเหลือ ได้แก่ (1) มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท และ (2) มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท ทั้งนี้มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ(สินเชื่อฟื้นฟู) วงเงิน 250,000 ล้านบาท เป็นมาตรการเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ เพื่อดูแลประคับประคองกิจการ รักษาอัตราการจ้างงาน เพื่อไม่ส่งผลกระทบกับศักยภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการ คือ บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทยที่มีสถานประกอบการ และ ประกอบธุรกิจในไทยเป็นลูกหนี้เดิม ที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท และไม่เป็นลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ณ 31 ธ.ค.62 หรือ เป็นลูกหนี้ใหม่ที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินทุกแห่ง ขณะเดียวกันต้องไม่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ยกเว้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai รวมถึงต้องไม่เป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินด้วย เนื่องจากต้องการให้เงินไปสู่ผู้ประกอบธุรกิจที่แท้จริง สำหรับวงเงินที่ได้รับสินเชื่อหากเป็นลูกหนี้เดิม จะขอกู้ได้ไม่เกิน 30% ของวงเงินในแต่ละสถาบันการเงิน แต่ไม่เกิน 150 ล้านบาท จากเดิมขอกู้ได้ 20% ทั้งนี้ หากเคยได้รับสินเชื่อ Soft loan ให้นับรวมด้วย ขณะที่ลูกหนี้ใหม่ สามารถขอกู้ได้ในวงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท โดยให้นับรวมวงเงินจากทุกสถาบันการเงิน ซึ่งมาตรการนี้จะมีระยะเวลาการให้สินเชื่อ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยไม่เกิน 5% ต่อปี โดย 6 เดือนแรก รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ และ 2 ปีแรกของสัญญาให้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อปี และสถาบันการเงินจะต้องไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมใดๆ รวมถึงดอกเบี้ยผิดนัดในช่วง 5 ปี ขณะที่ด้านมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงิน 100,000 ล้านบาท เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้ธุรกิจที่มีทรัพย์สินที่สามารถตีโอนชำระหนี้ได้และมีศักยภาพ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการลดภาระต้นทุนทางการเงินชั่วคราว มีโอกาสในการกลับมาดำเนินธุรกิจในอนาคต ไม่ถูกกดราคาทรัพย์สิน (fire sale) ส่วนคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในไทยมีสถานประกอบการ และ ประกอบธุรกิจในไทย เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินอยู่แล้วก่อนวันที่ 1 มี.ค.64 และไม่เป็น NPL ณ วันที่ 31 ธ.ค.62 และไม่เป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน ทั้งนี้เงื่อนไขในสัญญาลูกหนี้ หรือเจ้าของทรัพย์มีสิทธิซื้อคืนได้ภายในเวลา 3-5 ปี นับแต่วันที่รับโอน สถาบันการเงินต้องไม่ขายทรัพย์สินที่รับโอน เว้นแต่ได้รับแจ้งว่าจะไม่ใช่สิทธินี้แล้ว ขณะเดียวกันลูกหนี้หรือเจ้าของทรัพย์ สามารถเช่ากลับ เพื่อนำไปประกอบธุรกิจต่อไป โดยแจ้งความประสงค์ภายใน 15 วันนับแต่วันที่สถาบันการเงินรับโอนทรัพย์รวมถึงสถาบันการเงินจะนำค่าเช่าที่ได้รับ หักจากราคาขายคืน อย่างไรก็ตามหากผู้เช่าทำทรัพย์สินเสียหาย ชำรุด เสื่อมค่า อาจไม่ได้รับสิทธิในการซื้อคืนขณะเดียวกัน หากมีการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์นั้น สิทธิซื้อคืนยังคงเดิม เว้นแต่ลูกหนี้ผิดสัญญาจนสถาบันการเงินยกเลิกสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ แต่ยังคงให้สิทธิลูกหนี้แสดงเจตนาว่าจะซื้อคืนภายใน 30 วัน ทั้งนี้ หากรับโอนทรัพย์แล้วยังมีหนี้คงค้างให้สถาบันการเงินพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพิ่มเติมด้วย ขณะที่ราคาซื้อคืนนั้นจะต้องไม่เกินราคาที่สถาบันการเงินรับโอนบวกกับค่าใช่จ่ายในการเก็บรักษา (Carrying Cost) ไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี บวกกับค่าใช้จ่ายอื่นที่เกิดขึ้นจริง ลบด้วยค่าเช่าที่ได้รับจากลูกหนี้หรือเจ้าของทรัพย์ระหว่างสัญญา โดยธุรกรรมนี้จะได้รับยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการโอนทรัพย์ ทั้งขาที่โอนให้สถาบันการเงินและขาซื้อคืนของลูกหนี้และเจ้าของทรัพย์ “สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ยอมรับว่า ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอสเอ็มอีอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ธปท.ได้ติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด และอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย”