วันที่ 20 เม.ย.64 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สำหรับการเข้ามาของวัคซีนย้อนไปเดือนก.พ.รวมเข้ามา 317,000 โดส แบ่งเป็นซิโนแวค 200,000 โดส แอสตราเซเนกา 117,000 โดส เดือนมี.ค.ซิโนแวคเข้ามาอีก 800,000 แสนโดส เดือนเม.ย.ซิโนแวคเข้ามาอีก 1,000,000 โดส รวมเข้ามาแล้ว 2,117,000 โดส ตอนนี้ได้จัดแผนในการแจกจ่ายไปยังพื้นที่ต่างๆเพิ่มเติมมากขึ้นแล้ว และขอให้เร่งรัดการฉีดให้มากยิ่งขึ้น หากบุคคลากรทางการแพทย์ ไม่พอขอให้ไปรวบรวมบรรดาหมอ พยาบาล ที่มีความสามารถ มารวมช่วยกันฉีด ขณะเดียวกันโรงพยาบาลเอกชนก็พร้อมยินดีช่วยฉีดตรงนี้ ได้มีการหารือกันอยู่แล้วแหละ จะทำอย่างไรให้รวดเร็วขึ้น ในส่วนของวัคซีนที่ประมาณการไว้ที่จะเข้ามาและติดต่อไว้ในขณะนี้เรียนให้ทราบ ในวันที่ 24 เม.ย.ซิโนแวคจะเข้ามาอีก 5 แสนโดส เดือนพ.ค.ซิโนแวคเข้ามาอีก 1 ล้านโดส แต่ในส่วนของ 1 ล้านโดสตรงนี้ต้องรอนโยบายของรัฐบาลจีนด้วย เพราะการนำออกจากประเทศจีน ต้องขออนุมัติรัฐบาลจีนก่อน ซึ่งเราหารือกันเป็นประจำอยู่แล้ว นายกฯกล่าวว่า ทั้งนี้ ในส่วนของแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศไทย จะเริ่มทยอยส่งตั้งแต่ในเดือนมิ.ย.ประมาณ 4-6 ล้านโดส และเพิ่มจำนวนตั้งแต่เดือนก.ค.ไปจนถึงสิ้นปี 64 จนครบ 61 ล้านโดส เพราะฉะนั้นบวกกับที่เราจะจัดหาเพิ่มเติมเป็นวัคซีนทางเลือกก็คิดว่าน่าจะเพียงพอ ขณะนี้สถาบันวัคซีนแห่งชาติกำลังเจรจากับไฟเซอร์ ประเทศอังกฤษ มีความเป็นไปได้ส่งให้ได้ช่วงเดือนก.ค.ถึงสิ้นปี 64 ประมาณ 5-10 ล้านโดส ขณะนี้กำลังรอใบเสนอราคาและเงื่อนไขอยู่ ซึ่งเรามีวัคซีนอีกหลายยี่ห้อด้วยกัน แต่ตนไม่อยากพูดไปล่วงหน้า เพราะอยู่ในขั้นตอนการติดต่ออยู่ รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ นายกฯ กล่าวว่า วันนี้เน้นย้ำในเรื่องของโรงพยาบาลสนาม ต้องขอทำความเข้าใจกับประชาชนว่าวันนี้เราต้องเตรียมให้ได้ทุกพื้นที่ ตรงไหนจำเป็นต้องเปิดก่อนก็ต้องเปิดก่อน ถ้าไม่พอก็จะเปิดเพิ่มเติม ขอให้ประชาชนเข้าใจตรงกันว่าหลายคนอยากจะเข้าโรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลเอกชนแต่เนื่องจากสิ่งอำนวยการความสะดวกการและรองรับไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องรักษาเตียงให้กับผู้ป่วยโรคอื่นๆด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องจัดตั้งโรงพยาบาลเอกชนเป็นโรงพยาบาลสนาม ซึ่งยังมีเตียงว่างอยู่จำนวนมากพอสมควรและพร้อมที่จะจัดตั้งเพิ่มขึ้นใหม่ จึงขอทำความเข้าใจว่าอาจจะอยู่ไกลบ้านของท่านบ้าง เราคงจะไปดึงดันอยู่โรงพยาบาลรัฐอย่างเดียวคงไม่ได้ หรือโรงพยาบาลเอกชนอย่างเดียวคงไม่ได้ต้องนึกถึงคนอื่นด้วย รัฐบาลพยายามทำเต็มที่และต้องขอบคุณภาคธุรกิจที่สนับสนุนการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งมีความร่วมมือในการสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ อาหาร และเครื่องดื่มต่างๆซึ่งมีหลายบริษัทที่เข้ามาร่วมมือตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพี บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด หรือเอสซีจี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)และอื่นๆที่ตนอาจจะไม่ได้กล่าวอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะของพล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ. โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะที่สนับสนุนรัฐบาลในทุกๆเรื่อง