วันที่ 15 เม.ย.64 นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า ตามที่เกิดเหตุโรงงานหลายโรงในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดปล่อยควันดำ(flare)ออกมาทางปล่องควันพร้อมกันในหลายโรงเมื่อวันที่ 14 เม.ย. 64 เวลา 12.40 น. ที่ผ่านมานั้น ปล่องควันดังกล่าวออกมาจากโรงงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) สาขา 2 (GC2) , บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) สาขา 3 , บริษัท ไทยโพลิเอททีลีน จำกัด , บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) สาขา 12 และบริษัท เอ็ช เอ็ม ซี โปลีเมอส์ จำกัด อันมีต้นเหตุมาจากโรงไฟฟ้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้โรงงานต่างๆดังกล่าวเกิดขัดข้อง ทำให้โรงงานเกิดไฟฟ้าดับในกระบวนการผลิตก่อให้เกิดเปลวไฟและควันที่หอเผามากกว่าปกติ ทำให้เกิดกลุ่มควันหรือมลพิษฟุ้งกระจายออกมาแผ่คลุมพื้นที่นิคมฯและกระจายไปยังพื้นที่ชุมชนใกล้เคียง จนเกิดอาการหวาดวิตกกันไปทั่ว เหตุที่เกิดขึ้น แม้นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดจะพยายามโปรโมทอุตสาหกรรมเชิงนิเวศน์ มีศูนย์ EMCC แต่ก็ทำได้แค่รายงานเหตุการณ์และอ้างว่าได้กำชับโรงงานให้รีบดำเนินการแก้ไขเท่านั้น ไม่เคยมีมาตรการที่เด็ดขาดที่จะลงโทษโรงงานผู้ก่อเหตุให้เข็ดหลาบได้เลย ซึ่งเหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นอย่างซ้ำซากเกินไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 ก.พ.63 ก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว แต่ทว่า กนอ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่เห็นมีมาตรการลงโทษใดๆ ออกมา ทั้งๆที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตควบคุมมลพิษ ตามคำสั่งของศาลปกครองระยอง ส่วนกรมควบคุมมลพิษ(คพ.)ก็ไร้น้ำยาที่จะใช้มาตรการทางกฎหมายสิ่งแวดล้อมในการกำราบผู้ก่อมลพิษเหล่านี้ได้ ทำได้แค่เอาเครื่องตรวจวัดไปติดตั้งวัดอากาศแล้วรายงานว่าค่ามลพิษ VOCs เป็นปกติไม่เกินมาตรฐาน ซึ่งขัดแย้งต่อสภาพที่ปุถุชนทั่วไปก็รู้ว่าเกินมาตรฐานหรือไม่ หรือไม่กล้าที่จะแจ้งว่าเกินมาตรฐาน กลัวอะไรอยู่หรือ ถ้ากลัวก็ลาออกไปเสีย กรณีเช่นนี้จะเป็นตัวอย่างที่เลวร้ายที่เห็นขัดเจนมากที่สุด และยิ่งรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุน EEC ในพื้นที่ดังกล่าวด้วยแล้ว แต่ กนอ.ไม่เคยมีมาตรการลงโทษโรงงานที่ก่อให้เกิดมลพิษเข่นนี้อย่างเป็นรูปธรรมเลย หากจะลงโทษได้ก็คงทำได้แค่โรงงานเล็กๆเท่านั้น ซึ่งทางออกที่จะเรียกความเชื่อมั่นต่อกรณีนี้ได้ก็คือ ต้องเขือดไก่ให้ลิงดู โดยต้องไล่ผู้ว่าการ กนอ.-อธิบดี คพ.และคณะผู้บริหารออกไปเสียให้หมด หลังจากนั้นจึงค่อยปลด รมว.อุตสาหกรรม และ รมว.กระทรวงทรัพย์ฯ เป็ยรายต่อไป จึงจะพอเรียกศรัทธาของชาวบ้านคืนมาได้บ้าง นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด