ฝนไม่ตกมานานเกิดความแห้งแล้งทำให้เกิดไฟป่าลุกลามพื้นที่ป่าชุมขนคลอบคลุม 4 หมู่บ้าน มีพื้นที่ 1,919 ไร่ที่ใช้ร่วมกันทั้งเป็นแหล่งอาหารตามธรรมขาติและฤดูกาล เช่นหนอไม้ไผ่ป่า ข่าป่า เห็ด แมงและแมลงต่างๆ สูญป่าไปกว่า 1,000 ไร่ แม้ฝนจะตกแต่ก็ไม่ทันการณ์เนื่องจากไฟไหม้ป่าหมดไปก่อนแล้ว
เมื่อเวลา 12:00 น วันที่ 14 เม.ย.ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้เกิดเหตุไฟป่าลุกไหม้ป่าชุมชนที่ประชาชน 4 หมู่บ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน คือบ้านโคกกะแซ หมู่ที่ 2 บ้านโคกแสงทอง หมู่ที่.15 บ้านโนนยางคำ หมู่ที่ 7 และบ้านดอนสวรรค์ หมู่ที่ 8 ต.บ้านต้อง อ.เซกา จ.บึงกาฬ ที่มีพื้นที่ประมาณ 1,919 ไร่ หลังเกิดไฟไหม้ป่าชุมชน นายภาณุวิชญ์ สีลาวงศ์ ผู้ใหญ่บ้านโนนยางคำ ซึ่งหมู่บ้านอยู่ใกล้สุดได้ประสานขอความช่วยเหลือไปยังรถดับเพลิงของ อบต.บ้านต้อง อบต.โพธิ์หมากแข้ง อบต.โสกก่าม และเทศบาลบึงโขงหลง กู้ภัยบึงโขงหลงฐานภูลังกานำกำลังทั้งชาวบ้านรวมทั้งพระที่มีวัดตั้งอยู่ในเขตป่าที่จะถูกไฟไหม้ เช่นวัดป่าโป่งตาว ต้องใช้บุคลากรกว่า 100 คนนำอุปกรณ์ที่มีอยู่ทั้งจอบ ทำแนวกันไฟ มีดพร้าตัดกิ่งไม้เป็นอุปกรณ์ดับไฟระดมช่วยกันดับไฟป่า ขณะนี้เพลิงไหม้ลุกลามกินเนื้อที่ไปเรื่อยๆ กินพื้นที่จาก 100 ไร่ เป็น 200-600 ไร่ ในวันแรก ทั้งชาวบ้านและหน่วยกู้ภัยต่างก็หมดแรงไปตามๆ กัน เพราะป่าที่ถูกไฟไหม้เป็นป่าไม้หลากหลายชนิด เช่นต้นกระแซ ไม้จิก ไม้เต็งรัง กอไผ่ซอด ผักสะเม็กและหญ้าขนตาช้าง ประกอบเส้นทางที่เป็นแนวกันไฟที่ทาง อบต.บ้านต้องทำไว้กว้างแค่ 2-3 เมตร ให้รถดับเพลิงเข้าไปดับไฟได้ยากลำบาก บางจุดก็เข้าไปไม่ถึงต้องปล่อยให้ไฟไหม้จนโล่งเตียน
ด้านนายอุบล พหลทัพ นายก อบต.บ้านต้อง เปิดเผยว่าไฟป่าไหม้ครั้งนี้สูญเสียป่าชุมชนไปกว่า 1,000 ไร่ จากที่มีอยู่เกือบ 2,000 ไร่ ซึ่งเป็นแหล่งให้อาหารตามชาติ เช่นไข่มดแดง แมงกินูน ที่ชาวบ้านทั้ง 4 หมู่บ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน และครั้งนี้ถือว่าเป็นการไหม้ครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ต้องระดมเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครร่วมกับชาวบ้านช่วยกันดับถึง 2 วัน จึงมีฝนตกลงมาช่วยดับไฟ แต่ป่าไม้ก็ถูกไหม้ไปมากแล้ว ที่ผ่านมาก็ไหม้แค่นิดหน่อยประมาณ 10-50 ไร่ฝนตกลงมาปีถึงสองปีต้นไม้ก็ผลิใบใหม่อุดมสมบูรณ์เหมือนเดิมได้ ปีนี้ฝนหยุดตกมานานจึงเกิดความแห้งแล้งหนัก อาจทำให้เกิดไฟป่าได้ ส่วนการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคตนั้น จะต้องได้หารือกับทางป่าไม้ เนื่องจากเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ชุมชนช่วยกันดูแลอยู่ ซึ่งจะได้จัดสรรงบประมาณลงมาตัดถนนกว้างประมาณ 4 เมตรเป็นตาข่ายเป็นแนวป้องกันไฟไปด้วย อีกอย่างเมื่อเกิดไฟไหม้ป่ารถดับเพลิงก็จะวิ่งเข้าไปดับไฟได้ แต่ที่ผ่านมารถดับเพลิงวิ่งเข้าไปก็ติดหล่มดินทรายแทบจะเอาตัวไม่รอด ต้องฉีกน้ำดับไฟป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกไฟไหม้รถ หากทำได้เช่นนี้ก็คงจะเป็นการแก้ไขปัญหาป้องกันไฟไหม้ป่าชุมชนได้อย่างยั่งยืนต่อไปแน่นอน.