วันที่ 19 ก.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกฯ กล่าวถึงกรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุด(อสส.)เพื่อขอให้ส่งสำนวนคดีการสลายการชุมนุม นปช.ปี53 เพื่อให้ป.ป.ช.ดำเนินคดีใหม่นั้น ว่า เรื่องนี้ต้องกลับไปที่ ป.ป.ช. ซึ่งบรรดาแกนนำเหล่านี้ทราบดีว่าการจะไปยื่นให้อสส. นำสำนวนที่อัยการส่งฟ้องไปยื่นต่อป.ป.ช.เพื่อให้ใช้เป็นพยาน หลักฐานใหม่เพื่อรื้อคดีนั้น ก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ ขึ้นอยู่กับป.ป.ช. ที่จะพิจารณาว่าเข้าข่ายตามกฎหมายกำหนดหรือไม่ ทั้งนี้ตนเห็นใจผู้สูญเสียที่ต้องการเห็นความชัดเจนในเชิงข้อเท็จจริงเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม แต่ไม่ควรนำเรื่องนี้มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหวังผลทางการเมืองเพราะในวันที่มีการเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คดีความผิดเหล่านี้คนกลุ่มนี้กลับไม่ออกมาคัดค้านอะไร ในทางตรงกันข้ามตนเป็นคนออกมาคัดค้านจึงเป็นเรื่องแปลกที่ไม่คัดค้านการนิรโทษกรรม แต่กลับหยิบเรื่องนี้มาเคลื่อนไหว อย่างไรก็ตามในส่วนของญาติผู้เสียชีวิตที่ต้องการความเป็นธรรม ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ซึ่งป.ป.ช.ก็ไม่ได้ปิดทาง เพราะมีการสรุปว่าต้องหาข้อเท็จจริงเป็นรายกรณีไปในแต่ละสถานการณ์จริง จะมาเหมารวมกันไม่ได้ เพราะมีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ชุมนุมที่ต่างก็สูญเสีย ที่สำคัญความสูญเสียนี้เกิดขึ้นจากหลายเหตุการณ์ ไม่ใช่จากเหตุการณ์เดียว
"ผมเข้าใจดีว่า มีความพยายามที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง ทั้งที่คนเหล่านี้ไม่มีจุดยืน หากรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่นำเเรื่องนี้ขึ้นมาเล่นการเมืองตั้งแต่แรก และทำการสอบสวนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ต้น ทุกฝ่ายก็จะได้รับความเป็นธรรมไปแล้ว ผมยืนยันมาตลอดว่าพร้อมให้ตรวจสอบ แต่เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมืองจึงพยายามสรุปว่า ไม่ต้องสนใจในรายละเอียดของเหตุการณ์แต่ละเหตุ เพียงต้องการสรุปเอาผิดผมและนายสุเทพ เท่านั้น ปัญหาจึงเกิดขึ้น และเชื่อว่าจะมีความพยายามนำเรื่องนี้ขึ้นมาปลุกระดมอีก ทั้งนี้ ผมยืนยันว่าจะมีการนำเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นตัวประกันเพื่อนำไปสู่การนิรโทษกรรมในอนาคต เพราะเรื่องเหล่านี้ไม่สมควรที่จะมีการนิรโทษกรรม เพราะเป็นการทำความผิดต่อชีวิต"
นายอภิสิทธิ์ กล่าว