ปัญหาการจัดการวัคซีนโควิดของไทยกำลังปรากฏกระแสความคิด ความรู้ หักล้าง โต้แย้งกันหลากหลายประเด็นยิ่งนัก ในฐานะที่ผมออกจะชำนาญในการรับฟัง จับประเด็น และจับไก่ ข้อโต้แย้งต่างๆมาเนิ่นนาน จึงได้เฝ้ารับฟัง จนพอจะรายงาน ข้อโต้แย้งติติงที่ปรากฏ พอเป็นแง่คิดได้บ้างดังนี้ - ถาม วิกฤตโควิดระลอกสามนี้ เขาอธิบายสาเหตุความเป็นมากันอย่างไรครับ - ตอบ เราไม่ได้ทุ่มเทตรวจเชื้อเชิงรุกเลย จึงมีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ เดินไปเดินมาอยู่นอกประมาณการมาก ผนวกกับ โรคซ้ำกรรมซัด ที่ว่าโรคซ้ำคือเชื้อรุ่นใหม่ที่กลายตัวจนแฝงเร้นและดุมากกว่าเดิม แล้วมาถึงกรรมซัดคือบาปติดตัวในสังคมไทย ทั้งปัญหาแรงงานเถื่อนที่ทำให้ตลาดกุ้งสมุทรสาครเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ เลยมาถึง ระบบโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจที่ตกอยู่ใต้ส่วยและอิทธิพลมืดของจอมฟอกเงิน ซ่าซ่านจนเกิดคลัสเตอร์ทั้งโครงข่ายบ่อนตะวันออก บ่อนแม่สาย กับเลานจ์เถื่อนทองหล่อ ทั้งหมดนี้คือสองเด้งที่ผนวกกันแล้ว วิกฤตใหม่จึงเกิดขึ้นและเห็นตรงกันทุกฝ่ายว่าจะแรงมากๆ ลากยาวอีกเป็นปี - ถาม อาจารย์เห็นด้วยว่าเรื่องจัดการควบคุมโรคด้วยวัคซีนยังคงความสำคัญสูงสุด แต่ก็ยังมีเสียงติติงกันว่า เรื่องวัคซีนนี่อย่าไปทุ่มเทจนโอเวอร์เลย ที่สมุทรสาครตรวจเชิงรุกก็พบผู้มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงเป็นอันมากโดยไม่ต้องพึ่งวัคซีน ส่วนอัตราตายของเราที่ผ่านมาก็น้อยมากเหมือนกัน - ตอบ สถิติในต่างประเทศที่เร่งฉีดวัคซีนจนเป็นเนื้อเป็นหนังแล้วนั้น ได้ผลดีพบอัตราติดเชื้อปักหัวลงอย่างชัดเจน เถียงไม่ได้ ส่วนที่ว่าอัตราตายระลอกที่ผ่านมาของเราก็น้อยมากนั้น ก็เพราะมันยังระบาดไม่ถึงขั้นล้นขีดความสามารถของสถานพยาบาลไทยนั่นเอง ถ้าเอาไม่อยู่จนเตียง บุคลากร และเครื่องมือ เวชภัณฑ์ไม่พอ คนไทยก็อาจต้องตายกันข้างถนนเหมือนที่อิตาลีเลยก็ได้ กัญชากับฟ้าทะลายโจรจะช่วยอะไรได้ - ถาม ความเห็นของเขาผิดหรือครับ - ตอบ มันไม่ใช่ “ผิด” แต่อาจจะ “พลาด”ตรงการไปให้น้ำหนักที่มากหรือน้อย แก่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งจนเกินความเป็นจริง พอคิดคุยเรื่องจัดการโควิดนี้เมื่อใด เราจะสังเกตเห็นปัญหาความสมดุลย์ไม่ตรงกัน อย่างนี้มาตลอด แต่บางเรื่องก็ผิดทางความรู้อย่างสำคัญเลยทีเดียว คือเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีนแอสตร้าซีนีกร้าครับ - ถาม ผิดทางความรู้ยังไงครับ - ตอบ อย่างประสิทธิภาพวัคซีนของแอสตร้าซีเนกร้า ที่รัฐบาลพาไทยเราไปฝากชีวิตไว้นี้ โดนหนักทีเดียว ข้อหาแรกก็โดนอาจารย์หมอคณะแพทย์จุฬาฯคนหนึ่งบิดเบือนว่ามี ประสิทธิภาพอยู่ที่ 2% เท่านั้น ทั้งๆที่หลักฐานที่หลายประเทศยอมรับและเชื่อถือใช้อยู่ทุกวันนี้ ก็ตรงกันว่ามีประสิทธิภาพอยู่จริงๆ ที่ 67 % - ถาม เขาไปเอาตัวเลขนี้มาจากไหน - ตอบ ไม่ทราบครับ นี่ก็โดนหมอในกระทรวงสาธารณะสุขด่ายับเลยก็สมควรแล้ว - ถาม อีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมฟังมาก็คือ ทำไมเราไม่เข้าถึงวัคซีนยี่ห้ออื่น ที่มีประสิทธิภาพ 90% ขึ้นไปเช่นไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นนา ของสหรัฐบ้าง ไปแทงม้าแอสตร้าตัวเดียว ที่มีประสิทธิภาพแค่ 67% ทำไม - ตอบ ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่า สงครามระหว่างร่างกายเรากับโควิดนี่ เป็น สงครามเดียวแต่มีสองศึกด้วยกัน อัตราประสิทธิภาพวัคซีนอันเป็นอาวุธของมนุษย์ หรือที่เรียกว่า Efficacy rate นี้ จึงมีสองอัตรา คือป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเป็นศึกแรก กับป้องกันไม่ให้อาการหนัก จนเข้าโรงพยาบาลหรือตาย เป็นศึกที่สอง ทุกวัคซีนที่สากลเขารับรองซื้อขายใช้กันอยู่นั้น ทุกยี่ห้อต้องยับยั้งอาการจากหนักเป็นเบาให้ได้ 100% ใครที่ฉีดวัคซีนแล้วพลาดติดเชื้อในศึกแรก วัคซีนต้องหยุดอาการในศึกสองให้ได้ทุกคน คือหยุดได้ร้อยทั้งร้อย เรียกว่าฉีดแล้วก็ไม่มีทางเจ็บหนักหรือตายจากพิษโควิดเลย ประสิทธิภาพบรรเทาอาการนี้ทั้งไฟเซอร์ แอสตร้าซีนิกร้า มี 100%เท่ากันทั้งนั้น ซีโนแวคที่ไทยสั่งมาใช้ ก็มีเหมือนกัน บราซิล ชิลีรับรองแล้ว คุณไม่เห็นรัฐมนตรีคมนาคมไทย หรือครับ ฉีดซีโนแวคแล้ว แม้จะแพ้ศึกแรกจนติดเชื้อ แต่ก็ชนะศึกสองอาการไม่หนักไม่เข้าไอซียูเลยเห็นไหม - ถาม แล้วทำไมไฟเซอร์จึงแพงและหายากกว่า - ตอบ ประสิทธิภาพในศึกแรกที่ว่า เจอเชื้อแล้วจะช่วยคุ้มกันให้ไม่ติดนั้น ไฟเซอร์มี ๙๒% แอสตร้าฯ มี ๖๗% ไฟเซอร์จึงลงทุนมากกว่าในส่วนต่างประสิทธิภาพนี้ และทำให้เป็นที่ต้องการของประเทศรวยๆ จึงคิวยาวและราคาแพงเป็นธรรมดา - ถาม เราก็น่าซื้อไฟเซอร์นะครับ ถ้าฉีด 100 คน แล้วปลอดโรคไปเลย 92 คนนี่ คุ้มนะครับ - ตอบ ผมก็เคยเข้าใจผิดอย่างนั้น แต่ที่จริงแล้ว เขาหมายความว่า คนฉีดไฟเซอร์แต่ละคนนั้น เมื่อเจอกับเชื้อโควิด ก็จะมีโอกาสรอดไม่ติดเชื้ออยู่ 92 : 8 คือเจอ 100 ครั้ง จะรอดได้ 92 ครั้งนั่นเอง ส่วนแอสตร้าฯนั้น รอดได้ 67 : 33 ครั้ง - ถาม เหมือนกับชกกับโควิดเมื่อใด ค่ายไฟเซอร์จะเป็นต่อในอัตรา 92 : 8 นั่นเอง - ตอบ ก็ทำนองนั้น ที่สำคัญที่ต้องเข้าใจคือ วัคซีนโควิดยี่ห้อใด มันก็สร้างคนปลอดโรคไม่ติดโรคขึ้นมาไม่ได้แม้แต่คนเดียว มีแต่สร้างภูมิต้านทานแข็งแรงมากน้อย จนติดเชื้อได้มากน้อยต่างกันเท่านั้น - ถาม ในส่วนประสิทธิภาพบรรเทาอาการนั้น ถ้าเราซื้อแอสตร้า หรือไฟเซอร์ ก็ได้ผล 100 % ไม่ต่างกัน แต่ผลด้านหนังเหนียวติดโรคยากง่ายต่างกันอย่างนี้ แล้วเราจะเลือกอย่างไรดีครับ - ตอบ ถ้าต้องการแค่อาการไม่หนัก และมีเงินจำกัดด้วยก็จองแอสตร้าฯ ดีกว่า หาง่ายกว่าด้วย ส่วนใครจะลงทุนซื้อไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา ก็จะได้ความเหนียวติดเชื้อยากมากกว่าแอสตร้าขึ้นมา 25% ตรงนี้คือส่วนที่ต้องจ่ายเพิ่มสำหรับไฟเซอร์ - ถาม ซื้อแอสตร้าฯ แล้วขณะเดียวกันก็มีวินัยรักษาระยะห่าง ติดตามกักโรคเร็ว แค่นี้เราก็ติดเชื้อน้อยๆได้เหมือนกัน ไม่จำต้องใช้ทุ่มเทใช้ไฟเซอร์ มาเสริมหนังเหนียวเลยก็ได้ - ตอบ ถูกต้องครับ ตรงนี้คือจุดที่ทางผู้รับผิดชอบเขาตัดสินใจใช้แอสตร้าซิเนกร้าที่ จองได้ง่ายกว่า ถูกกว่า และแถมยังมั่นคงได้ฐานผลิตไว้ในมืออีกด้วย - ถาม เขาประมาณว่ากลางปีหน้า จึงจะฉีดได้ทั่วถึง แต่พอเกิดระลอกสามขึ้นมามันก็ช้าไปแล้ว คงคิดไม่ถึงว่าจะมีโรคซ้ำกรรมซัดเกิดขึ้นมา ทั้งตลาดกุ้ง บ่อนใหญ่ เลานจ์เถื่อนทองหล่อ และเชื้อกลายพันธุ์ - ตอบ เวลานั้น เขามั่นใจของเขาอย่างนั้น จึง จัดการความเสี่ยงไปอย่างนั้น แต่อิสราเอลเขาคิดแบบนักรบสู้กับโรคโดยตรงเลย จึงทุ่มเทกว้านจองวัคซีนมาฉีดจนค่อนประเทศแล้ว มันเป็นความต่างทางยุทธศาสตร์ครับ ไม่ใช่ความผิดพลาดที่จะมาด่า หรือป้ายร้ายกัน ว่าเป็นวัคซีนพระราชทานไปโน่นเลย - ถาม ถ้าเป็นอาจารย์จะเอาอย่างอิสราเอลไหม - ตอบ ผมจะเอาอย่างนั้นนะ หยุดโรคนี่สำคัญที่สุด อย่าไปคิดเอาเอง เชื่อมั่นเอาเอง ว่าเราเก่งรักษาระยะห่าง และติดตามกักโรค แล้วจะเอาอยู่ ปัจจัยอื่นมันแปรผันเข้ามาได้ อย่างเงินในโครงการไทยชนะหรือคนละครึ่งนั่น ผมว่าถ้าเอามาซื้อวัคซีนให้พอและทันการณ์ ผมยอมนะครับ - ถาม สรุปแล้ว อาจารย์เห็นว่าเรื่องจัดการวัคซีน ต้องเร็วและแรงกว่านี้ - ตอบ ชะงักไม่ได้ ระหว่างนี้ก็ทุ่มเทเรื่องรักษาระยะห่าง และติดตามกักกันกลุ่มเสี่ยงไปเต็มที่ด้วย ต้องล็อคดาวน์ก็ต้องล็อค เพราะวัคซีนมาสายไปแล้ว - ถาม ลุงตู่เขาก็กำลังจะเปิดให้ภาคเอกชน นำเข้าวัคซีนได้เสรีขึ้นแล้วนะครับ - ตอบ เห็นด้วยเต็มที่ครับ สำหรับวัคซีนจอนสันแอนด์จอนสันนั้น อย.ไทยรับขึ้นทะเบียนแล้ว ดันไปยักเป็นเงื่อนไขไว้ทำไมว่านำเข้าได้เมื่อฉุกเฉินเท่านั้น วันนี้ยังไม่ฉุกเฉินอีกหรือ ตัวผมเองนั้น ถ้าไฟเซอร์เข้ามาได้เมื่อใดผมยอมจ่ายเลย จะได้หนังเหนียวขึ้น ผมไม่อยากไปแย่งวัคซีนหลวงกับพี่น้องที่เขาไม่มีกำลังซื้อ สังคมเองก็พลอยปลอดภัยจากตัวผมมากขึ้นด้วยที่หนังเหนียวติดเชื้อยากขึ้น เรื่องพัฒนาการผลิตและการจำหน่ายเครื่องมือตรวจโควิดด้วยตนเอง อย่างที่ญี่ปุ่นเขาทำขายให้ชาวบ้านในตลาดด้วยนั้น ก็เช่นกัน น่าทำมากนะครับไม่ต้องง้อ เข้าคิวขอรัฐตรวจเลย พอกันทีเถอะครับกับวัฒนธรรมความคิด Paternalism ที่ฝากทุกอย่างไว้กับรัฐ ราวกับเป็นคุณพ่อรู้ดี อย่างนี้ พ่อหลงตัวเอง บ้าอำนาจ ขี้โมโห งี่เง่า หาประโยชน์ จับมือผสานอำนาจกันจนเป็นฝูงนี่มีมาสองระบอบแล้วไม่เห็นหรือครับ พอบวกด้วยราษฎรซื่อบื้อ แตกแยก ไม่ยอมเป็น “ประชาชน”ที่มีส่วนรวมอยู่ในหัวด้วยก็แย่เลย เจอวิกฤตโควิดระลอกนี้ก็ชิบหายกันพอดี ปีนี้ นางสงกรานต์เป็นนางยักษ์ กินเลือดเป็นอาหารด้วยนะครับ