เมื่อวันที่ 10 เม.ย.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวในรายการ PM PODCAST นายกรัฐมนตรีเล่าเรื่อง ผ่านเพจเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้าว่ากล่าวถึงมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ว่า เรื่องนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดซึ่งเราก็ร่วมมือกันมาเป็นอย่งดีจนสถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายลง ทุกคนก็อยากพักผ่อนหย่อนใจไปท่องเที่ยวคลายความเครียดจากการทำงาน จนเราอาจจะประมาทหรือละเลยไปว่า ทุกนาทีก็คือความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ทุกเวลา สิ่งใดที่บกพร่องก็ต้องกลับไปดูและแก้ไข เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับไปได้ เราจะต้องทำวันนี้และวันต่อๆไปให้ดีที่สุด เพื่อที่จะต่อสู้กันอีกครั้ง ตนขอยืนยันว่าการทำงานของรัฐบาลจะดำเนินไปตามปกติไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเรามีระบบต่างๆรองรับไว้อยู่แล้ว แม้จะเป็นวันหยุดพวกเราก็ทำงานตลอดเวลา
นายกฯ กล่าวว่า ปัจจุบันการบริหารงานของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งได้กำหนดเขตพื้นที่สถานการณ์โดยยังคงแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือพื้นที่ควบคุมหรือพื้นที่ส้ม 9 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังสูงหรือพื้นที่สีเหลือง 14 จังหวัดและพื้นที่เฝ้าระวังหรือพื้นที่สีเขียว 54 จังหวัด การที่กำหนดพื้นที่แบบนี้ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งรัฐบาลเป็นห่วงว่าจะกระทบต่อการวางแผนในการเดินทาง กระทบการทำมาหากินของผู้ประกอบการที่ไม่เกี่ยวข้อง เพราะเรามีบทเรียนในปีที่แล้วว่าการใช้ยาแรงแม้จะควบคุมโรคได้ดี แต่มีผลข้างเคียงกับธุรกิจและผู้ประกอบการโดยทั่วไป โดยเฉพาะร้านอาหาร เราจึงต้องวิเคราะห์เรื่องนี้ให้รอบคอบ การบริหารสถานการณ์ต้องมองภาพรวมและหาวิธีการแก้ไขให้ถูกจุดที่สุด ซึ่งอยู่บนจุดสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความปลอดภัยและชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา หากพบผู้ติดเชื้อในสถานประกอบการ ประเภทสถานบริการที่ใดให้ปิดสถานประกอบการนั้นทันทีอย่างน้อย2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะในกทม.ถูกปิดไปแล้ว ทั้งนี้หากพบในพื้นที่ใกล้เคียงก็ให้ปิดสถานประกอบการในพื้นที่นั้นอย่างน้อย2 สัปดาห์เช่นเดียวกันและถ้ามีการแพร่ระบาดในสถานประกอบการในพื้นที่จังหวัดใดคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือกทม. ให้พิจารณาปิดสถานประกอบการในพื้นที่ทั้งจังหวัดได้เลยอย่างน้อย 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานสาธารณสุข ก็ต้องเพิ่มความเข้มข้น และความถี่ในการตรวจตราและกำกับดูแลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อีกเรื่องที่หลายคนยังกังวลใจจากการมีจำนวนผู้ติดเชื้อ คือเรื่องของจำนวนเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยติดเชื้อ โควิด-19 ล่าสุดก็ได้รับรายงานมาว่าเตียงในโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งเต็มแล้ว ตนจึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมโรงพยาบาลสนามไว้รองรับผู้ป่วยให้เพียงพอเพื่อแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลโดยเฉพาะโรงพยาบาลในกทม. ที่เน้นให้ผู้ป่วยที่มีอาการหนักรับการรักษาในโรงพยาบาล ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการไม่หนักมาก ให้กระจายไปที่โรงพยาบาลสนาม โดยรูปแบบของโรงพยาบาลสนามจะมีพื้นที่ที่กำหนดขึ้นใหม่และพื้นที่ที่อยู่ในพื้นที่โรงพยาบาล เช่น ในโรงพยาบาลบางขุนเทียน โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และพื้นที่สนามกีฬา โดยในส่วนของกระทรวงกลาโหมได้เตรียมไว้ส่วนหนึ่ง ขณะที่โรงแรมต่างๆใช้กักตัวกลุ่มเสี่ยง ที่เรียกว่า AHQ (Alternative Hospital Quarantine) ก็สามารถปรับมาเป็นโรงพยาบาลสนามได้ ในส่วนของการปฏิบัติงานตนได้กำชับกระทรวงสาธารณสุขให้ปลดล็อกเรื่องกฎระเบียบเกี่ยวกับการรับผู้ป่วย โควิด-19 และการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันให้บ้านเมืองดีขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มสามารถเปิดได้โดยใช้มาตรการป้องกัน โควิด-19 อย่างเคร่งครัด หากพบว่ามีผู้ติดเชื้อในร้านอาหารหรือสถานประกอบการใดก็ให้ปิดสถานบริการนั้นทันทีเพื่อจัดระเบียบอย่างน้อย 2 สัปดาห์ หากพบว่ามีการแพร่ระบาดของโรคในร้านอาหารหรือร้านเครื่องดื่มหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดใดก็ให้คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดหรือกทม.ได้พิจารณาเพิ่มการปิดร้านอาหารที่มีความเสี่ยงเช่น ร้านที่เป็นห้องแอร์ หรือร้านที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างน้อย 2 สัปดาห์
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนมาตรการทำงานที่บ้านหรือเวิร์กฟอร์มโฮมต้องนำกลับมาใช้ใหม่ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยในหน่วยงานภาครัฐ จะต้องไม่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและการบริการประชาชน ส่วนภาคเอกชนก็เป็นการขอความร่วมมือ อาจจะสลับวันหรือเหลื่อมเวลาการทำงานเพื่อลดจำนวนคนที่เดินทางออกจากบ้านเพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ ด้านการศึกษาตนได้สั่งการไปยังกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้หาวิธีในการเรียนการสอนเหมือนที่เคยทำที่ผ่านมา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนขอย้ำอีกครั้งสำหรับแนวทางการจัดกิจกรรมช่วงสงกรานต์นี้ ตนเป็นห่วงทุกคนจริงๆ หากใครไม่มีความจำเป็นที่ต้องเดินทางก็ขอให้อยู่บ้านและใช้เทคโนโลยีการสื่อสารให้เป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตามตนเข้าใจดีถึงความรักความผูกพันของครอบครัวไทย ดังนั้นเมื่อเราต้องเดินทางกลับบ้านหรือไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ก็ขอให้สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง หลีกเลี่ยงการสัมผัส ใครที่เคยไปพื้นที่เสี่ยงก็ขอให้หลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้สูงอายุ ส่วนกิจกรรมที่จัดได้ในช่วงเทศกาลสงกรานต์คือ การสรงน้ำพระ และการรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ ซึ่งควรจัดในพื้นที่โล่งและอากาศถ่ายเทได้ดี ที่สำคัญต้องงดจัดกิจกรรมที่รวมคนจำนวนมาก งดการเล่นน้ำ ประแป้ง และปาร์ตี้โฟม ส่วนในพื้นที่อโคจรต่างๆ ก็ขอให้งดเว้น
นายกฯ กล่าวว่า ทั้งนี้ในสถานที่ต่างๆ ได้ติดตั้งคิวอาร์โค้ดแอพพลิเคชันไทยชนะซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่ทุกคนจะใช้งานกัน เพราะเมื่อเราพบผู้ติดเชื้อในสถานที่ใด เจ้าหน้าที่ก็จะสามารถติดต่อท่านได้ง่ายและรวดเร็ว โดยข้อมูลเมื่อวันที่ 7 เม.ย. มีผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นไทยชนะประมาณ 62.3 ล้านเครื่อง มีกิจการร้านค้าลงทะเบียน 395,201 แห่งเช็คอินผ่านคิวอาร์โค้ด 86.4 เปอร์เซ็นต์ เช็กอินผ่านแอพฯ อีก 13.6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใครที่ไม่มีสมาร์ทโฟนก็สามารถเขียนชื่อตามจุดที่ร้านค้ากำหนดได้ ตนขอขอบคุณในความร่วมมือของทุกคน เพราะถ้าร่วมมือกันเราจะแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา โดยสรุปคือรัฐบาลจะทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ไขปัญหานี้และขอให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนได้ร่วมมือกันอีกครั้ง เพื่อฝ่าฟันปัญหาไปด้วยกัน ไม่มีใครทำสำเร็จได้ด้วยคนคนเดียว หรือหน่วยงานเดียว ประชาชนต้องร่วมมือไปกับรัฐบาลด้วย รัฐบาลเองก็จะทำอย่างเต็มที่ ทุกมาตรการที่ออกไปก็ต้องคำนึงผลกระทบ เพราะมีทั้งวิกฤตและโอกาส แต่จะสมดุลอย่างไรในเรื่องเหล่านี้